วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ระดับขั้นของอีหม่าน (เชิงตะเซาวุฟ)

ระดับขั้นของอีหม่าน (เชิงตะเซาวุฟ)

ระดับขั้นของอีหม่าน ซึ่งได้มาจาก หนังสือ อีหม่านวัดตัฟซี้ล ของท่าน อุสตาส มูฮำหมัด อัชอารีย์ ซึ่งผมได้ตัดทอนและเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเข้าไป เพื่อพี่น้องที่รักของผมทุกท่าน ที่ได้ชื่อว่าเป็น "มู่รีด" ( ผู้ที่ต้องการเดินทางไปหาอัลเลาะห์ ) จะได้ใช้มันเป็นแนวทางไปยังการรู้จักพระองค์ และเข้าถึงพระองค์ได้อย่างแท้จริง

ขั้นที่ 1 ก็คือ "อีหม่านตักลีด"
อีหม่านตักลีด คืออะไร ? / อีหม่านตักลีด ก็คือ "การอีหม่านชนิดลอกเลียน" และเมื่อเราได้ยินชื่อ เราย่อมรู้ได้ทันทีว่า การอีหม่านชนิดนี้ ย่อมไม่ใช่อีหม่านที่ดี หรือ อีหม่านที่แท้จริงเป็นแน่ เพราะอีหม่านชนิดนี้ ก็คือ อีหม่านขั้นต่ำสุด และเป็นอีหม่านที่ดออีฟที่สุด
อีหม่านตักลีดนั้น เป็นอย่างไร ? / อีหม่านตักลีดนั้น ก็คือ การอีหม่านที่ได้รับการสืบทอดมาจากบิดา-มารดา ดังนั้น เมื่อเขาเกิดมาเป็นมุสลิม เขาย่อมได้รับอีหม่านชนิดนี้ติดตัวมาด้วย บุคคลที่มีอีหม่านชนิดนี้ การอีหม่านของเขาจะไม่มั่นคง ซึ่งเปรียบได้ดั่งไม้ที่ปักอยู่บนดินโคลน ยามเมื่อลมแรงพัดพาไปทางทิศใด อีหม่านของเขาก็จะเอนไปทางทิศนั้น ดังนั้น เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน เขาก็ไปตรุษจีนด้วย เมื่อถึงวันปีใหม่ เขาก็ไปงานปีใหม่ด้วย และเมื่อถึงช่วงของการลอยกระทง เขาก็ไปลอยกระทงด้วย และเมื่อถึงคราวที่มุสลิมจัดงามเมาลิด เขาก็ไปงานเมาลิดด้วย และเมื่อเขาถูกถามว่า อัลเลาะห์ทรงมีอย่างไร และอะไรคือหลักฐานที่ว่า พระองค์ทรงมี ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานทางด้านนักลีย์ (ตัวบทที่มาจากอัลกุรอานและอัลหะดีษ) หรือ หลักฐานทางด้านอักลีย์ (หลักฐานทางด้านของสติปัญญาที่ยืนยัน ว่าโลกนี้มีผู้สร้าง) เขาก็ไม่สามารถตอบได้ เขาทำได้เพียงแค่ยิ้ม หรือ ตอบว่า ไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังใช้ชีวิตแบบงมงาย เชื่อในโชคราง ของขลัง และปฏิบัติตนอย่างเช่นที่พวกปฏิเสธศรัทธาได้ปฏิบัติ นี่แหละ คือ ลักษณะของคนที่มีอีหม่านตักลีด
ผลของคนที่มีอีหม่านตักลีด ? / คนที่มีอีหม่านชนิดนี้ เขาจะต้องเข้านรกตลอดกาล ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวกาลีเมาะห์ชาฮาดะห์ก็ตาม เพราะสิ่งที่เขาทำนั้น ปะปนไปด้วยสิ่งที่เป็นการตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ ดังนั้น การกล่าวชาฮาดะห์ของเขา จึงไม่อาจปกป้องเขาให้พ้นจากสภาพของการเป็นกุโฟรไปได้ เพราะถือว่าไม่เซาะห์ในคำปฎิญาณของเขา ดังที่อัลเลาะห์ (ซบ.) ทรงตรัสว่า
"แท้จริงอัลเลาะห์ไม่ทรงอภัยให้ ในการที่พระองค์ถูกตั้งภาคี แต่จะทรงอภัยให้ในกรณีอื่นๆจากนั้น แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดที่ตั้งภาคีต่อพระองค์ แท้จริงแล้ว เขาได้หลงผิดกับการหลงผิดอย่างไกลลิบ" (ซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 116)

ขั้นที่ 2 ก็คือ "อีหม่านอิลมู"
อีหม่านอิลมู คืออะไร ? / อีหม่านอิลมู ก็คือ "อีหม่านที่อาศัยวิชาความรู้เป็นหลัก" การอีหม่านชนิดนี้จะเกิดขึ้น ก็ด้วยการศึกษาหาวิชาความรู้ทางด้านของศาสนา ซึ่งเป็นระดับขั้นที่สูงกว่าขั้นของอีหม่านตักลีด ซึ่งเป็นอีหม่านที่คนทั่วไปๆสามารถใคร่และเป็นเจ้าของได้ เพียงแค่ทำการศึกษาหาความรู้ทางด้านของศาสนาเท่านั้น และอีหม่านในระดับนี้ก็จะมีความแตกต่างกัน ในเรื่องของความรอบรู้ทางวิชาการของศาสนา ไม่ว่าจะเป็น เตาฮีด ฟิกห์ และอัลเอี๊ยะห์ซาน
อีหม่านอิลมูนั้น เป็นอย่างไร ? / อีหม่านอิลมูนั้น ก็คือ อีหม่านที่เราได้รับรู้มาแล้วว่า เป็นอีหม่านที่อาศัยวิชาความรู้เป็นหลัก คนที่มีอีหม่านชนิดนี้ จึงมีความสามารถในการที่จะตอบคำถามของผู้ที่มาถามได้อย่างฉะฉาน ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับ เตาฮีด ฟิกห์ หรือวิชาการแขนงอื่นๆ ซึ่งเป็นอีหม่านของบุคคลที่อยู่ในระดับแนวหน้าของสังคม เช่น เป็นท่านครู ท่านผู้รู้ หรือ ทำหน้าที่ในวงสังคม เข่น เป็นอีหม่าม เป็นคอตีบ เป็นคณะกรรมการมัสยิด หรือ มีตำแหน่งใหญ่โตทางสังคม เช่น เป็นกอดี เป็นมุฟตี หรือ ผู้นำมุสลิม บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีอีหม่านอิลมูด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า อีหม่านอิลมู ก็คือ อีหม่านที่ได้มาจากการศึกษาวิชาการทางศาสนา 
แต่อีหม่านชนิดนี้ ยังไม่ใช่อีหม่านแท้ เป็นเพียงอีหม่านที่ฟังอยู่ในรูปของความรู้เท่านั้น ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า โต๊ะครูบางคนตีไก่ อีหม่ามบางคนซื้อหวย คณะกรรมการมัสยิดบางคนก็กินเหล้า ซึ่งเรื่องราวในลักษณะนี้เราก็คงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง แม้กระทั่งตัวเราเอง ในบางครั้งเราก็ทำความผิดทั้งที่รู้ว่าศาสนาห้าม เช่น การจับมือถือแขนกับเพศตรงข้าม การสำเร็จความใคร่ด้วยมือ บางครั้งก็ขาดละหมาดโดยจงใจ บางคนก็ออกนอกบ้านโดยไม่คลุมศีรษะ บางคนก็คดโกงเงินทองของผู้อื่น ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่า นั่นคือสิ่งที่ศาสนาห้าม และทั้งๆที่มีความรู้ แต่ทำไมถึงยังกระทำกันอยู่ นั่นเป็นเพราะว่า อีหม่านของเขามันคืออีหม่านที่อยู่ในรูปของความรู้ รู้ว่าบาป รู้ว่าอัลเลาะห์ลงโทษ แต่เขาก็ไม่สามารถละทิ้งการกระทำอันนั้นไปได้ หากถูกถามว่า กลัวไหม ? / แน่นอนก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ากลัว แต่ความกลัวนั้นก็ไม่อาจที่จะปกป้องเขาให้พ้นจากการกระทำที่ชั่วช้าได้ นั่นก็เป็นเพราะว่า เขากลัวอัลเลาะห์แค่สมอง แต่ใจของเขาไม่ได้ยำเกรงต่ออัลเลาะห์ต้าอาลานั่นเอง
ผลของคนที่มีอีหม่านอิลมู / คนที่มีอีหม่านชนิดนี้ เขาจะต้องเข้านรกก่อนที่จะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ เนื่องจากเขาได้ประกอบสิ่งที่ผิดหลักการของศาสนาเอาไว้มาก เขาจึงต้องไปชดใช้บาปกรรมของเขาก่อนในนนรกญะฮันนัม และเมื่อชำระบาปของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาถึงจะได้รับการอภัยโทษจากอัลเลาะห์(ซบ.) และถูกอนุญาตจากพระองค์ให้เข้าสู่สรวงสวรรค์ เนื่องจากเขามีกาลีเมาะห์ชาฮาดะห์ที่บริสุทธิ์ และมีอากีดะห์ที่ปลอดภัยจากสิ่งที่เป็นการตั้งภาคีต่อพระองค์ 

ขั้นที่ 3 ก็คือ "อีหม่านอิยาน"
อีหม่านอิยาน คืออะไร ? / อีหม่านอิยาน ก็คือ "กาอีหม่านแบบมองเห็น" และการมองเห็นที่ว่านี้ มิใช่หมายถึงการมองเห็นด้วยสายตา (بصر) แต่หมายถึงการมองเห็นอัลเลาะห์ (ซบ.) ด้วยตาใจ ที่เราเรียกว่า (بصيرة) การอีหม่านชนิดนี้ ก็คือ ขั้นต้นของอีหม่านแท้ ซึ่งเป็นอีหม่านที่เห็นอัลเลาะห์ด้วยตาใจในทุกๆขณะของการทำอีบาดะห์ ดังที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้ทรงตรัสตอบแก่ญิบรี้ล ในขณะที่มาถามท่านถึงเรื่องของ อัลเอี๊ยะห์ซาน ว่า
أَنْ تَعْبُدَ اللهَ كَأَنَّكَ تَرَاهُ فَإِنْ لَمْ تَكُنْ تَرَاهُ فَإِنَّهُ يَرَاكَ
ความว่า "คือการที่ท่านทำอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ต้าอาลา เสมือนกับว่าท่านเห็นพระองค์ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เห็นพระองค์ได้ แต่ทว่าแท้จริงแล้วพระองค์ทรงเห็นท่าน"
และนี่แหละคือ ระดับขั้นของอีหม่านที่บรรดามุสลิมทั้งหลายจะต้องไขว่คว้าเอามาครอบครองให้ได้ เพราะเป็นอีหม่านที่ถือว่าปลอดภัยจากอาซาบในวันอาคีเราะห์
อีหม่านอิยานนั้นเป็นอย่างไร ? / คนที่มีอีหม่านอิยาน ก็คือ คนที่ขยันในการทำอีบาดะห์ไม่ว่าจะเป็นฟัรดู หรือ สุนัต ใฝ่หาสัจธรรม และดำเนินชีวิตตามครรลองที่ศาสนาได้วางเอาไว้ และเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับการรำลึกถึงอัลเลาะห์ พวกเขาจะห่างไกลจากการนินทาว่าร้ายต่อผู้อื่น เพราะเขาสำนึกอยู่เสมอว่า พระองค์ทรงมองดูเขาอยู่ พวกเขาจะพยายามกรั่นกรองอิบาดะห์ของเขาให้ออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลเลาะห์ ไร้ซึ่งการตะกั๊บโบ๊ร (อวดโต) ริยาอ์ (โอหัง) อุญุบ (ลำพองตน) และห่างไกลจากการสร้างฟิตน่ะห์ให้เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าคราใดก็ตามที่ นัฟซุแห่งความโอ้อวดมันได้มาชุดดึงเขา เขาก็จะตอบโต้มันด้วยการขอบคุณและสำนึกในพระเมตตาแห่งอัลเลาะห์ที่ทรงประทานให้แก่เขา ไม่อวดดีอ่วนเด่นในความเก่งกาจของตนเองต่อหน้าผู้อื่น และคราใดก็ตามที่นามชื่อของอัลเลาะห์ถูกกล่าวขึ้น หัวใจของพวกเขาก็จะสั่นไหวอันเนื่องมาจากความยำเกรงที่มีต่อพระองค์ ดังที่อัลเลาะห์(ซบ.)ทรงตรัสเกี่ยวกับพวกเขาว่า
ความว่า "คือบรรดาผู้ซึ่งเมื่อนามเชื่อของอัลเลาะห์ถูกกล่าวบนพวกเขาหัวใจของพวกเขาก็จะสั่นไหว" ( อันเนื่องมาจากความยำเกรงที่มีต่ออัลเลาะห์ ) ซูเราะห์ อัลฮัจญ์ อายะห์ที่ 35 นี่แหละ คือ ลักษณะของคนที่มีอีหม่านอิยาน
ผลของคนที่มีอีหม่านอิยาน ? / คนที่มีอีหม่านอิยานนั้น เขาจะปลอดภัยในวันอาคีเราะห์ เพราะอีหม่านที่มีนั้น คือ อีหม่านที่ถูกรักษา เป็นอีหม่านที่ยำเกรงอัลเลาะห์ (ซบ.)จากหัวใจโดยแท้จริง ไม่ใช่อีหม่านด้วยสมองเหมือนอย่างอีหม่านอิลมู อีหม่านของเขาจึงถูกรักษามิให้ต้องโดนอาซาบในวันอาคีเราะห์ แต่คนที่มีอีหม่านชนิดนี้ ก็ยังไม่อาจเข้าถึงอัลเลาะห์(ซบ.)ได้อย่างแท้...จริง เพราะอีหม่านที่มีนั้น ยังไม่เข้มข้น พวกเขาจะรำลึกถึงอัลเลาะห์(ซบ.)อย่างจริงจังในช่วงที่มีการอิบาดะห์เท่านั้น หรือในช่วงที่มีการกล่าวนามชื่อของอัลเลาะห์ แต่ในส่วนมากของเวลา พวกเขาก็ยังคงหมดไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เช่น ละคร หรือ การวมกลุ่มพูดจาไร้สาระ ผลก็คือ พวกเขาก็ยังคงลืมอัลเลาะห์(ซบ.)อยู่ในบางเวลา และรำลึกถึงพระองค์บ้างในบางเวลา จึงทำให้พวกเขาเข้าสู่สรวงสวรรค์ช้า เพราะยังต้องรอการสอบสวนจากสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำได้ในเรื่องของดุนยา
ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากอีหม่านในขั้นนี้ ? / บรรดาอุลามาอ์ในสายของซูฟีย์นั้น ก็ยังคงมองว่า อีหม่านขั้นนี้ ก็คืออีหม่านขั้นกลาง ซึ่งยังไม่ใช่อีหม่านขั้นสูงสุดเพราะในหัวใจของเขายังคงรักสิ่งที่เป็นดุนยามากกว่ารักอัลเลาะห์ (ซบ.)ในบางโอกาส แต่ก็เป็นอีหม่านที่ปลอดภัย ดังนั้น สำหรับ "มู่รีด" (ผู้ที่ต้องการเดินทางไปหาอัลเลาะห์อย่าแท้จริงนั้น) จะต้องทลายกำแพงกั้นจากอีหม่านในขั้นนี้ให้ได้ เพื่อก้าวไปสู่ขั้นของอีหม่านที่แท้จริง ด้วยการพิจารณาและทำจิตใจให้เกี่ยวพันกับอัลเลาะห์ต้าอาลามากที่สุด และไม่ปล่อยให้โอกาสแม้เพียงน้อยนิดที่จะทำความดี ต้องสูญหายไป เขาจะต้องเพ่งจิตในทุกๆอิริยาบทให้ กลับไปหาอัลเลาะห์(ซบ.) ไม่ว่าจะกิน นอน นั่ง เดิน อิบาดะห์ โดยให้นึกอยู่เสมอว่า ทำไปเพื่ออัลเลาะห์ เพื่อให้มีแรงสักการะต่ออัลเลาะห์ และเมื่อเขาฝึกจิตของเขาให้รำลึกอยู่แต่อัลเลาะห์(ซบ.)อยู่เสมอแล้ว เขาย่อมเดินทางเข้าสู่อีหม่านขั้นต่อไปได้อย่างง่ายดาย...อินชาอัลเลาะห์

ขั้นที่ 4 ก็คือ "อีหม่านฮัก"
อีหม่านฮัก คืออะไร ? / อีหม่านฮัก ก็คือ "อีหม่านแท้" และนี่แหละ คือ ขั้นสูงของอีหม่านที่มีต่ออัลเลาะห์ (ซบ.) เป็นสุดยอดของอีหม่าน ที่ต่อยอดมาจากอีหม่านอิยาน เมื่อผ่านการฝึกฝนจิตใจและการปฏิบัติอาม้าลอิบาดะห์ทั้งฟัรดูและสุนัตมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จนกระทั่งเขามองทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายกลับไปสู่อัลเลาะห์ (ซบ.)แล้ว เขาย่อมได้รับอีกหม่านฮักเป็นสิ่งตอบแทน
อีหม่านฮักนั้น เป็นอย่างไร ? / คนที่มีอีหม่านฮักนั้น จะมีความสุขุม วารออ์ และนุ่มลึกในคำพูด อันเนื่องมาจากการฝึกฝนจิตใจและอีหม่านที่มีต่ออัลเลาะห์ ความยำเกรงที่พวกเขามีต่ออัลเลาะห์นั้น เป็นความยำเกรงอย่างสูงสุด ซึ่งในหัวใจของพวกเขานั้นแทบจะไม่หายไปเลย จากการรำลึกถึงอัลเลาะห์ (ซบ.) ถ้าเราจะเปรียบเทียบลักษณะของคนที่มีอีหม่านฮักนั้น เราอาจจะเปรียบได้ดั่งคนที่พบสิงโตตัวหนึ่ง ถามว่าความกลัวที่มีต่อสิงโตนั้น จะเกิดขึ้นมาหลังจากการที่เขาพิจารณาใคร่ครวญถึงความน่ากลัวของมันหรือไม่ จากเขี้ยวเล็บ จากเสียงคำราม คำตอบก็คือ ไม่ใช่ สำหรับคนที่รู้จักสิงโตดีอยู่แล้ว แค่เพียงได้ยินชื่อของมันเท่านั้นแหละ ความกลัวที่เขามีต่อมันก็จะแผ่ซ่านเข้าสู่จิตใจของเขาทันที นี่แหละ คือ ลักษณะของคนที่มีอีหม่านฮัก แต่คนที่มีอีหม่านฮักจริงๆนั้น เขาจะมีความยำเกรงต่ออัลเลาะห์(ซบ.) มากกว่าที่จะได้ยินชื่อของพระองค์ เพราะในหัวใจของพวกเขานั้นจะมีความยำเกรงต่อพระองค์ และมีพระองค์อยู่ในจิตใจแทบทุกอิริยาบทอยู่แล้ว นี่แหละ คือ อีหม่านที่แท้จริง
ผลของคนที่มีอีหม่านฮัก ? / เขาจะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์อันเป็นนิจนิรันดร์ และผ่านสะพานซีรอต้อลมมุสตะกีมดุจสายฟ้าแลบ เพราะเขาเป็นที่รักยิ่งของอัลเลาะห์ (ซบ.) และในจิตใจของพวกเขาจะไม่มีคำว่าตะกั๊บโบ๊ร ไม่มีคำว่าริยาอ์ และไม่มีการอวดโต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำไปนั้น จากการซอดาเกาะห์ จากการอิบาดะห์ จากการอบรมสั่งสอน หรือการงานอื่นๆ มันบังเกิดขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์โดยแท้จริง ผลก็คือ เขาเป็นคนรักของอัลเลาะห์ (ซบ.) และได้รับการประทานชื่อใหม่ว่า เป็น "ว่าลียุ้ลเลาะฮ์"
และนี่แหละ คือ ขั้นสูงของการอีหม่านที่บรรดามุสลิมทั้งหลายจะต้องไขว่คว้า และพยามยามฝ่าฝันกับอุปสรรคต่างๆให้ได้ ทั้งความขี้เกียจ ความเชื่อชา และความนึกคิด รวมทั้งการกระทำต่างๆที่ออกนอกไปจาก การลำรึกถึงอัลเลาะห์(ซบ.) เพื่อที่เขาจะได้พบกับ "ฮ่าลาว่าตุ้ลอีหม่าน" (ความหอมหวานของการศรัทธา) และได้ชื่อว่า เป็นคนรักของอัลเลาะห์ (ซบ.) โดยแท้จริง

ขั้นที่ 5 ก็คือ "อีหม่านฮากีกัต"
อีหม่านฮากีกัต คืออะไร ? / อีหม่านฮากีกัต แปลว่า "แก่นแท้ของอีหม่าน" และนี่แหละ คือ "สุดยอดของการอีหม่าน" ดังนั้นเมื่อแปลว่าสุดยอด ก็แสดงว่า ผู้ที่อยู่ในขั้นนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ แน่นอนครับ เพราะนี่คือ อีหม่านของบรรดานบี บรรดาร่อซู้ล บรรดาคนวาลีย์การอมัต และคนชั้นอาริฟบิ้ลลาฮ์ และผู้ที่เป็นสุดยอดของอีหม่านในระดับนี้ก็คือ ท่านร่อซู้ล(ซ.ล.) ซึ่งเรารับรู้ได้จากคำพู...ดของท่านที่ว่า " ถึงแม้ตัวของฉันจะหลับ แต่ใจของฉันไม่เคยห่างจากการรำลึกถึงอัลเลาะห์ " นั่นช่างเป็นคำพูดที่บ่งบอกให้เรารู้ว่า คนในระดับชั้นนี้ ไม่มีเลยแม้แต่ลมหายใจเดียว ที่จะหลุดพ้นไปจากการรำลึกถึงอัลเลาะห์ อีหม่านของพวกเขาช่างแข็งแกร่งและน่าสรรเสริญยิ่งนัก
อีหม่านฮากีกัตนั้นเป็นอย่างไร ? / คนที่มีอีหม่านฮากีกัตนั้น ทุกคำพูด ทุกการกระทำ ทุกความนึกคิดทั้งสมองและจิตใจ เรียกได้ว่า ทุกอิริยาบทของพวกเขา ไม่มีเลยที่จะว้างเว้นจากการรำลึกถึงอัลเลาะห์ (ซบ.) ความเป็นอยู่ของพวกเขาเรียบง่าย และคราใดที่เขาสู่อิบาดะห์ พวกเขาก็จะมีความขะมักเขม้น จริงจัง และไม่เหลือสิ่งใดไว้ในจิตใจของพวกเขาเลยนอกจากอัลเลาะห์ (ซบ.) แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขารักอย่างที่สุด
ผลของคนที่มีอีหม่านฮากีกัต ? / ก็คือ พวกเขาจะได้ได้รับความปลอดภัยในวันอาคีเราะห์ และเข้าอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นสูงสุดพร้อมกับท่านร่อซุ้ล (ซ.ล.) และบรรดาอัครสาวกของท่าน (ร.ด.) รวมทั้งบรรดาคนวาลีย์ทั้งหลาย พร้อมกับได้รับความสุขสบายในสรวงสวรรค์ชั้นสูงสุดนี้อย่างเป็นนิจนิรันดร์

ทำอย่างไรจึงจะเข้าสู่อีหม่านในขั้นนี้ได้ ? / ท่านจะต้องผ่านการฝึกฝนและขัดเกลาจิต ใจจากระดับที่ 1 จนกระทั่งถึงระดับสุดท้าย และเมื่อท่านทำได้อย่างนี้ ท่านก็จะได้ชื่อว่า "เป็นอาริฟบิ้ลลาฮ์" เป็นผู้ที่รู้จักอัลเลาะห์ต้าอาลาอย่างแท้จริง....วัลลอฮู่อะลัม
الصلاة من الله بالله لله
การละหมาด....จากอัลเลาะห์ ด้วยอัลเลาะห์ เพื่ออัลเลาะห์ เป็นอย่างไร ?
ผมขออนุญาติพี่น้องทุกท่าน ที่จะเสริมคำอธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อยนะครับ ที่ผมกล่าวไปว่า ( มินั้ลลอฮ์ บิลลาฮ์ ลิ้ลลาฮ์ ) นั้น ก็คือให้เรามุ่งความคิดของเราไปสู่การละหมาด ด้วยการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ โดยไม่มีเรื่องราวอันใดในโลกดุนยาคงเหลืออยู่ในจิตใจของเรา ( เรียกว่าเข้าสู่ม่ากอมฟ่านาอ์ ) นั่นคือ ทำใจให้ว่าง พร้อมทั้งสำนึกอยู่เสมอว่า ขณะนี้ฉันมีอัลเลาะห์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
นี่คือขั้นสูงสุดของซูฟีย์ ซึ่งเป็นยากสำหรับคนมีความรู้น้อยอย่างผม ที่จะอธิบายให้พี่น้องเข้าใจถึงฮากีกัตของมัน จึงขออธิบายแค่ในส่วนที่พอจะมีความรู้อยู่บ้างตามที่อัลเลาะห์จะทรงอนุญาติให้ / การคงเหลืออยู่แค่อัลเลาะห์นี่แหละ ที่.. (เรียกว่าเข้าสู่มะกอมบากออ์) นั่นคือ คงเหลือแต่อัลเลาะห์ (ซบ.) เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่อยู่ในจิตใจของเรา....
แล้วเราจะทำละหมาดด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลเลาะห์ได้อย่างไร วิธีการก็คือ เราต้องเริ่มการละหมาดด้วยการสำนึกจากจิตใจของเราว่า ที่เราทำละหมาดนั้น...ทำจากพลังความสามารถที่อัลเลาะห์ประทานให้เรา นั่นคือ "มินั้ลลอฮ์" แปลว่า "จากอัลเลาะห์" เราไม่ได้เคลื่อนไหว รู่กัวะอ์ ซูยูด ด้วยตัวของเราเอง แต่เราเริ่มละหมาด รู่กัวะอ์และซูยูดด้วยการที่อัลเลาะห์ให้เราเริ่ม จากพลังที่อัลเลาะห์ได้มอบให้แก่เรา นี่แหละ คือ ความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นซึ่ง.....มาจากอัลเลาะห์
ตัวต่อมาก็คือ "บิ้ลลาฮ์" แปลว่า "ด้วยกับอัลเลาะห์" นั่นก็คือ การสำนึกจากจิตใจอีกเช่นเดียวกันว่า "ทำด้วยกับอัลเลาะห์" ด้วยพลังที่อัลเลาะห์ให้เราทำ ที่เรารู่กัวะอ์ได้ก็ด้วยพลังของอัลเลาะห์ที่มอบให้เรา ที่เราซูยูด ก็ด้วยกับความสามารถที่พระองค์ทรงประทานให้....นี่แหละคือความหมายของคำว่า บิ้ลลาอ์.....ทำด้วยกับอัลเลาะห์
และตัวสุดท้าย ก็คือ "ลิ้ลลาฮ์" แปลว่า "เพื่ออัลเลาะห์" นั่นก็คือ การสำนึกด้วยจิตใจเช่นกันว่า ที่เราทำละหมาดนั้นก็เพื่อพระองค์อัลเลาะห์ ซึ่งไม่มีอยู่ในจิตใจของเราเลย ความต้องการซึ่งผลบุญ หรือ ความกลัวว่าถ้าไม่ทำละหมาดแล้วจะต้องโดนลงโทษ แต่การทำเพื่ออัลเลาะห์นั้น คือ การทำด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยแท้จริง ไม่โลภอยากได้ผลบุญ หรือ ทำเพราะกลัวอัลเลาะห์จะลงโทษ เพราะการคิดแบบนั้น ถือว่าไม่ใช่ความบริสุทธิ์ มันคือ การทำเพราะต้องการอยากได้ แต่การทำที่บริสุทธิ์ใจอย่างจริงๆ ก็คือ ทำโดยไม่สนใจในสิ่งใด ไม่อยากและไม่กลัว ทำเพียงเพื่อ ตะก๊อรรุบ (แสวงหาความความใกล้ชิด) กับอัลเลาะห์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น การทำเพื่อตะก๊อรรุบแบบนี้แหละที่เรียกว่า....ทำเพื่ออัลเลาะห์


โดย เป็นแค่ คนรอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น