หมวดที่ 1. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า
(วะฮีย์) หรือสิงที่มนุษย์ประพันธ์ขึ้น....?
1.คัมภีร์อัลกุรอาน
เป็นคัมภีร์ของอิสลามที่ประมวลบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักศีลธรรม
และจริยธรรมอิสลามอย่างครบถ้วน
และสามารถยืนยันได้ว่าคัมภีร์อัลกุรอานนั้นเป็นการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ
การเชื่อมั่นและการศรัทธาในเรื่องนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุสลิมผู้ศรัทธา
ด้วยเหตุนี้ศัตรูอิสลามทั้งในอดีตและปัจจุบันต่างใช้ความเพียรพยายามที่จะปฏิเสธความถูกต้องและที่มาของคัมภีร์อัลกุรอาน
โดยพวกกราบไหว้รูปปั้นชาวมักกะฮ์ที่ต่อต้านอิสลามในสมัยนั้น
ได้ใช้ความพยายามที่จะปฏิเสธว่าคัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่การดลใจ(วะฮีย์)จากพระเจ้า
ตามคำกล่าวอ้างที่ปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลฟุรกอน โองการที่ 4
ความว่า
"แท้จริงอัลกุรอานนี้ มิใช่อื่นใด
นอกจากคำโกหกที่มุฮัมมัด ได้แต่งขึ้นเองและหมู่ชนอื่นๆ
ได้ช่วยเขาในเรื่องนี้"
และโองการที่ 5
ความว่า
"อัลกุรอานเป็นนิยายของประชาชาติสมัยก่อนๆ
ที่เขียนขึ้นและถูกนำอ่านให้ขึ้นใจทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น"
รวมทั้งการกล่าวหาศาสดามุฮัมมัด
ดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลนะล์ โองการที่ 103
ความว่า
"แท้จริงสามัญชนคนหนึ่งสอนเขา"
หรือว่าแท้จริงอัลกุรอานนั้น เป็นผลงานของนักมายากล หรือพวกที่ใช้ไสยศาสตร์
โดยที่พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะหาทางปฏิเสธว่า
คัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่การดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานผ่าน ศาสดามุฮัมมัด เพื่อเป็นทางนำแก่มวลมนุษย์ชาติ
มีนักบูรพาคดีกลุ่มหนึ่งที่มีอคติต่อศาสนาอิสลาม ได้สนับสนุนข้ออ้างที่ผิดๆ
ของพวกกราบไหว้รูปปั้น(เจว็ด)ชาวมักกะฮ์
โดยได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้คัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่เป็นการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานผ่านทางท่านศาสดามุฮัมมัด ทั้งที่อัลกุรอานได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า แท้จริงศาสดามุฮัมมัด เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ
เหตุนี้ท่านศาสดาจึงมอบหมายให้เหล่าสาวก และผู้ใกล้ชิดจดบันทึกโองการต่างๆ
และถ้าหากว่าท่านศาสดาเป็นผู้รู้หนังสือแล้ว คงไม่วานให้ผู้อื่นดำเนินการ การกล่าวหาว่าศาสดาได้นำเรื่องในคัมภีร์ของยิวและคริสต์(ไบเบิล)มาใช้ในคัมภีร์อัลกุรอ่านนั้น
ไม่ใช่เรื่องผิดอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือจะสามารถอ่าน เข้าใจ
และถ่ายทอดเนื้อหาของคัมภีร์อื่นได้อย่างแจ่มแจ้ง จึงเห็นได้ชัดว่าข้ออ้างต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง
หรือมีข้อพิสูจน์ใดๆเลย
2.ท่านศาสดามุฮัมมัด ทรงเผยแพร่ศาสนาอิสลามในนครมักกะฮ์ เป็นเวลา 13 ปี
และไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าท่านได้ติดต่อกับชาวยิวตลอดระยะเวลาดังกล่าว
และสำหรับชาวคริสต์นั้น มีหลักฐานที่ท่านเคยติดตามลุงที่ชื่อ "อบี
ฏอเล็บ" เดินทางไปค้าขายที่ซีเรียในขณะที่มีอายุเพียง 9
ขวบ หรือ 12 ปีเท่านั้น
โดยระหว่างที่กองคาราวานหยุดพักท่านศาสดาได้พบและสนทนากับบาทหลวง"บูไฮรี่"เพียงไม่กี่นาที
เด็กอายุขนาดนั้นจะเข้าใจหลักเกณฑ์ และบทบัญญัติพื้นฐานของศาสนา
ในระหว่างพบปะช่วงสั้นๆ ได้อย่างไร
และเหตุใดเล่าที่บาทหลวงผู้นั้นได้เลือกเด็กชายอายุเพียงไม่กี่ปีเป็นคู่สนทนา
เพื่อให้รู้จักหลักการของคริสต์ ทั้งๆที่มีผู้ใหญ่จำนวนมากมายในกองคาราวาน และถ้าอย่างนั้นจึงมีคำถามว่าทำไมมุฮัมมัด จึงต้องรอคอยเป็นเวลา 30 ปีเพื่อที่จะประกาศศาสนาอิสลาม
เรื่องดังกล่าวนี้จึงเชื่อถือไม่ได้
นักบูรพาคดีผู้หนึ่งชื่อ Huart ได้ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวโดยอย่างสิ้นเชิงและเห็นว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
โดยกล่าวว่า เอกสารและบันทึกภาษาอาหรับที่ถูกค้นพบ ศึกษาและเผยแพร่นั้น
ต่างระบุว่าข้อความข้างต้นนั้นเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย
3.
คัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่สอดคล้องกับศาสนาอื่นๆ
ที่มีการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า และศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว
โดยพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระองค์
จึงต้องกลับไปหาพระองค์แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ดี
อัลกุรอานได้ปฏิเสธคำสอนหลายประการของศาสนายิว และคริสต์
ฉะนั้นเหตุใดเล่าจึงกล่าวว่าศาสดามุฮัมมัด
ได้เลียนแบบคัมภีร์ของยิวและคริสต์ ถ้าสมมุติฐานเหล่านั้นเป็นจริง
ย่อมหมายความว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่างศาสนา และมันก็ไม่มีความหมาย
และไม่มีคัมภีร์อื่นใดที่มีระบบเนื้อหา ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
ในบทบัญญัติกว่า 1,400 ปี
แต่สิ่งเหล่านั้นเพิ่งจะถูกค้นพบในกลางศตวรรษที่ผ่านมา (ประมาณ 500
ปี) เมื่อนักดาราศาสตร์ไม่สามารถที่จะให้คำอธิบายปรากฏการต่างๆเหล่านั้นทางวิชาการ
จึงได้ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้น มาจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่าที่ศาสดาผู้ไม่รู้หนังสือจะสามารถมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้า
และจะกล่าวอ้างไม่ได้ว่าแหล่งข้อมูลเหล่านั้นมาจากคัมภีร์ของยิวหรือคริสต์
ซึ่งในคัมภีร์ของพวกเขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย
ดังนั้นที่มาของบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอ่าน จึงมีบ่อเกิดมาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพลานุภาพ
และมิได้เกิดจากมนุษย์อย่างแน่แท้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น