อาดัม (อ.ล.) มนุษย์คนแรก
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์ ผู้อภิบาลสากลโลก ขอความเมตตา
ความสันติสุขจงมีแด่ผู้นำของพวกเราที่ประเสริฐ คือ นบีมูฮำหมัด แด่วงศ์วาน
และมิตรสหายของท่านทุกคน และขออัลเลาะห์ตาอาลา ได้โปรดพอพระทัยผู้คนที่เจริญรอยตามพวกเขาเป็นอย่างดี
จวบจนถึงวันแห่งการตัดสิน.
เรื่องราวต่อไปนี้คือ แบบฉบับของมวลมนุษย์
ที่พระองค์อัลเลาะห์ได้เลือกสรรจากมนุษย์นับจำนวนล้าน ๆ
เพื่อให้พวกเขาได้ดำรงตำแหน่งนบีของอัลเลาะห์
และศาสนทูตของพระองค์เพื่อทำหน้าที่ชี้นำมนุษยชาติสู่หนทางที่ถูกต้อง
นั่นคือหนทางที่ศรัทธาพระเจ้าองค์เดียว
ซึ่งก็คือแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลเลาะห์
ซึ่งจะไม่มีสิ่งไร้สาระเกิดขึ้นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง.
ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ
ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ ด้วยความรักและยกย่องเป็นที่สุด
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพวกเขาได้รับการกล่าวขานอย่างโดดเด่น
และปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่อบอวลด้วยกลิ่นหอม.
เรามีความภูมิใจนำเสนอแบบฉบับเหล่านั้น
เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง
และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา
เพราะพวกเขาเป็นนบีของอัลเลาะห์และเป็นศาสนทูตของพระองค์ที่อัลเลาะห์ได้กล่าวถึงพวกเขาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า
“พวกเขาเป็นพวกที่อัลเลาะห์ได้ชี้ทางนำที่ถูกต้องให้แล้ว
ดังนั้นเจ้าจงปฏิบัติตามทางนำที่พวกเขาได้รับเถิด” (อัลอันอาม:9)
นบีทั้งหลายนั้นอัลเลาะห์ได้กล่าวนามชื่อของพวกเขาไว้อย่างชัดเจนในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานถึงยี่สิบห้าท่านทั้งที่ดำรงตำแหน่งนบีและร่อซู้ล
อัลเลาะห์ได้กล่าวนามชื่อพวกเขาในซูเราะห์
อัลอันอามถึงสิบแปดชื่อดังพระองค์ได้ตรัสว่า:
“เหล่านั้นคือหลักฐานของเรา
ที่เราได้ประทานมันให้แก่ อิบรอฮีม เพื่อยืนยันแก่พวกพ้องของเขา
เราจะยกเกียรติแก่ผู้ที่เราประสงค์หลายขั้น แท้จริงองค์อภิบาลของท่านปรีชาญาณ
ทรงรอบรู้ (83) และเราได้ประทานให้แก่อิบรอฮีมคือ
อิสหาก และ ยะอ์กู๊บ ทั้งหมดนั้นเรานั้นได้ชี้นำสู่หนทางที่ถูกต้อง
ส่วน นัวฮ์ นั้นเราได้ขึ้นนำเขามาก่อนแล้วและจากลูกหลานของเขาคือ
ดาวูด สุไลมาน อัยยูบ ยูซุฟ มูซา ฮารูน และดังเช่นนั้นเราจะตอบแทนผู้ที่กระทำความดี
(84) และ ซะการียา ยะห์ยา อีซา อิลยาส ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผู้มีคุณธรรม
(85) และ อิสมาอีล อัลยะสะอ์ ยูนุส และ ลูต ทั้งหมดนั้นเราได้ให้พวกเขาเหนือกว่าชาวโลก
” (อัลอันอาม:83-86)
ต่อมามีนักกวีมุสลิมชาวอาหรับคนหนึ่งได้แนะนำให้พวกเรารู้จักนบีทั้งยี่สิบห้าท่านไว้ในคำประพันธ์ของเขาที่ว่า
:
ในอายะห์ที่ว่า “เหล่านั้นคือหลักฐานของเรา..”
มีรายชื่อนบี สิบแปดท่านที่ยังเหลืออีกเจ็ดคือ : อิดรีส ฮูด ชุอัยบ์ ต่อมาก็ ซอและห์ ซุ้ลกิฟลี่ อาดัม และพวกเขาถูกปิดท้ายด้วยผู้ที่ถูกเลือกสรร
(คือ มูฮำหมัด) .
อาจมีนบีท่านอื่นอีกที่พวกเราไม่รุ้ แต่อัลเละห์รู้ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
“ขอสาบานว่าแท้จริงได้ส่งศาสนทูตหลายท่านมาก่อนหน้าเจ้าโอ้มูฮำหมัด
พวกเขาบางคนนั้น เราได้เล่าให้เจ้าได้รับทราบ
และมีบางคนที่เราได้ไม่ได้เล่าให้เจ้ารับทราบ ” (ฆอฟิร:
78)
และต่อไปนี้เราจะได้นำเอาชีวประวัติของบรรดานบีเหล่านั้นมาวางลงเบื้องหน้าของท่านผู้อ่าน
โดยเริ่มจากประวัติของท่านนบีอาดัม (อ.ล.) เป็นท่านแรกในฐานะเป็นบิดาของมนุษยชาติ
และเป็นสิ่งแรกที่อัลเลาะห์ตาลาอาได้ทรงสร้างขึ้นก่อนสิ่งใด ๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เพราะการตักเตือนเป็นประโยชน์แก่ผู้ศรัทธา
ผู้เรียบเรียง
มันซูร อัรริฟาอีย์ ดร.
อิสมาอีล อับดุลฟัตตาฮ์
ริซก์ อัซซัยยิด ฮีบะห์
แปลและเรียบเรียงโดย
อรุณ บุญชม
ประวัติกำเนิดจักรวาล
ประวัติกำเนิดจักรวาล
เป็นประวัติหนึ่งที่จะทำให้พวกเราได้ประจักษ์ในเดชานุภาพของอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
พระองค์ผู้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ผู้ที่เมื่อประสงค์สิ่งใด
พระองค์เพียงแต่กล่าวว่า “จงเกิดขึ้น” สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้น
อาจมีผู้ทักท้วงว่าประวัติการกำเนิดจักรวาล
เป็นเรื่องเร้นลับที่ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากอัลเลาะห์ ตาอาลาเท่านั้น
และมนุษย์ไม่อาจบรรยายลักษณะของกำเนิดจักรวาลได้อย่างแท้จริง
โดยหลักฐานที่อัลเลาะห์ตรัสว่า: (เราไม่ได้ให้พวกเขาเห็นการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินและไม่ได้ให้พวกเขาเห็นการสร้างตัวของพวกเขาเอง”
(อัลกะห์ฟิ:51)
จักรวาลที่เราอยู่อาศัยนี้มาประกอบด้วย โลก อากาศ ฟ้า ดวงดาว ดวงอาทิตย์
และ ดวงจันทร์ เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ก่อนหน้าที่จะมีจักรวาลนั้น
มีแต่เพียงอัลเลาะห์เท่านั้น ถูกแล้ว ! ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากพระองค์เท่านั้น คืออัลเลาะห์ผู้ทรงเป็นเอก
พระองค์ทรงอยู่โดยลำพังผู้เดียว ผู้ทรงเป็นที่พึ่งพิงของสรรพสิ่งทั้งปวง.
เมื่ออัลเลาะห์ประสงค์จะสร้างจักรวาล พระองค์ได้บันดาลให้มีน้ำเกิดขึ้น
พระองค์บัญชาให้มีหมอกควันออกมา หมอกควันได้ออกมาจากน้ำ หมอกควันลอยสูงขึ้นสู่เบื้องบนกลายเป็นชั้นฟ้า
ต่อมาพระองค์ได้บัญชาให้เกิดแท่งหินจากน้ำและพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นโลกตามบัญชาของพระองค์
โดยวิธีการดังกล่าว อัลเลาะห์ได้สร้างเจ็ดชั้นฟ้า
แผ่นดินและจักรวาลทั้งหมดในเวลาหกวัน
หมายถึงหกขั้นตอนซึ่งอัลเลาะห์ทรงทราบกำหนดเวลาของแต่ละขั้นตอนเพียงผู้เดียว
พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างวิจิตรบรรจง
พระองค์สร้างชั้นฟ้าโดยไม่มีเสารองรับ เพราะเดชานุภาพของพระองค์ไร้ขอบเขต
พระองค์เท่านั้นเป็นผู้สร้างที่ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง
ภายหลังจากสร้างฟ้าและแผ่นดินเสร็จสมบูรณ์แล้ว
พระองค์ได้ตรัสแก่มันทั้งสองว่า: เราคืออัลเลาะห์ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงอำนาจ ผู้สูงส่ง
เป็นผู้ครอบครองบัลลังก์อะรัช
เจ้าทั้งสองจะยอมอยู่ใต้คำบัญชาของเราหรือไม่ ? ชั้นฟ้าและเแผ่นดินตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
: เรายอมปฏิบัติตามคำบัญชาของท่านแต่โดยดี
หลังจากนั้นอัลเลาะห์ได้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
และดวงดาวประดับประดาในชั้นฟ้า พระองค์บันดาลให้มีมะลาอิกะห์ มาจากรัศมี
ตามที่พระองค์ประสงค์ และให้มวลมะลาอิกะห์พำนักอยู่ในชั้นฟ้า
มวลมะลาอิกะห์เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์สร้างขึ้นโดยให้พวกเขามีเอกลักษณ์
ไม่กิน ไม่ดื่มและไม่หลับนอน
พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับการรำลึกถึงอัลเลาะห์ สำนึกในกรุณาธิคุณของพระองค์
ภักดีต่อพระองค์ และสนองคำบัญชาของพระองค์ โดยไม่ฝ่าฝืนหรือขัดคำสั่งแม้แต่น้อย “พวกเขาจะไม่ละเมิดคำบัญชาของอัลเลาะห์
และพวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์”
(อัตตะฮ์รีม:6)
มะลาอิกะห์บางส่วนทำหน้าที่นำพากระแสลมไปยังที่ ๆ อัลเลาะห์ประสงค์
บางส่วนทำให้ภูเขาเคลื่อนที่เพื่อให้เป็นไปตามบัญชาของอัลเลาะห์
บางส่วนนำสารจากอัลเลาะห์มายังนบี เพื่อชี้นำมนุษยชาติสู่หนทางที่ถูกต้อง
บางส่วนทำหน้าที่เก็บวิญญาณของมนุษย์ตามบัญชาของอัลเลาะห์
โดยอัลเลาะห์ได้กำหนดให้มะลาอิกะห์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติเฉพาะตนในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
มะลาอิกะห์ทั้งมวลใช้เวลาหมดไปกับการสดุดีและสรรเสริญอัลเลาะห์
ทั้งกลางวันและกลางคืน “ มวลมะลาอิกะห์จะกล่าวสดุดี
อัลเลาะห์ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่ขาดตอน” (อัลอันยิบาอ์:2)
ความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะห์ในการสร้างอาดัม
โลกใบนี้ในท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล
เปรียบได้เหมือนเรือลำน้อยที่ลอยล่องอยู่ในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง
อัลเลาะห์ผู้ทรงหยั่งรู้ประสงค์ที่จะสร้างผู้มาพัฒนาโลกใบนี้ อาดัม (อ.ล) จึงเป็นมนุษย์คนแรกที่อัลเลาะห์ทรงสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่นี้ ในที่ชุมนุมของมวลมะลาอิกะห์ซึ่งเป็นสิ่งประเสริฐที่อัลเลาะห์ได้สร้างขึ้นเพราะพวกเขาทำอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์ด้วยใจบริสุทธิ์
กล่าวคำสดุดีและสรรเสริญพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเวลา อัลเลาะห์
ตาอาลาได้ตรัสแก่พวกเขาว่า : เราจะสร้างคอลีฟะห์
(ผู้แทนของพระองค์) ในโลกนี้ “ (อัลบะกอเราะห์ : 30) หมายความว่าเราคืออัลเลาะห์ผู้สร้างจักวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
และด้วยประสงค์ของเรา เราจะสร้างมนุษย์ให้มาอยู่อาศัย
และพัฒนาโลกใบนี้ตามที่เราประสงค์.
มวลมะลาอิกะห์ให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว จึงพากันถามขึ้น : “ มวลมะลาอิกะห์กล่าวว่าท่านจะแต่งตั้งผู้ที่จะก่อความพินาศและทำให้เลือดนองหน้าแผ่นดินไปปกครองในแผ่นดินอย่างนั้นหรือ
ทั้งที่พวกเรากล่าวสดุดีความบริสุทธิ์ของท่าน อีกทั้งยังยกย่องเกียรติของท่าน
พร้อมด้วยกล่าวสรรเสริญท่าน “ (อัลบะกอเราะห์ : 30)
แต่อัลเลาะห์ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงหยั่งรู้ได้กล่าวตอบมวลมะลาอิกะห์ว่า : “ แท้จริงเรารู้ในสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายไม่รู้
“ (อัลบะกอเราะห์ : 30)
ถูกต้องแล้ว ! อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงรอบรู้
สรรพสิ่งทั้งหลายไม่รู้นอกจากสิ่งที่พระองค์สั่งสอนพวกเขาเท่านั้น.
อัลเลาะห์ประสงค์ยกย่องและให้เกียรติมนุษย์ ให้เป็นที่ปรากฎในเรือนร่างของบิดาแห่งมวลมนุษยชาติคืออาดัม
(อ.ล)
พระองค์จึงบัญชาแก่มวลมะลาอิกะห์ว่า : “ เมื่อเราได้สร้างรูปของอาดัมขึ้น
และได้เป่าวิญญาณจากวิญญาณที่เราเป็นเจ้าของเข้าไปในร่างของเขาแล้ว
พวกท่านจงลงกราบเขา “ (อัลฮิจร์: 29) บัญชาของอัลเลาะห์ที่มีไปยังมวลมะลาอิกะห์ให้พวกเขาลงกราบอาดัมนี้
เพื่อให้เกียรติแก่เขาคล้ายกับเป็นงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ที่ถูกจัดขึ้น ณ
เบื้องบนเนื่องในโอกาสที่สร้างอาดัมขึ้นมาเสร็จสมบูรณ์อย่างประณีตบรรจงทั้งรูปร่าง
ภาพลักษณ์ และความงดงาม ดังอัลเลาะห์ได้พรรณนาลักษณะของมนุษย์ไว้ว่า : “ความจริงเราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้อยู่ในเรือนร่างที่งดงาม
“ (อัตตีน :3)
องค์อภิบาลได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยไม่มีต้นแบบมาก่อน จากนั้นพระองค์ได้เป่าวิญญาณเข้าไปในร่าง
การเป่าวิญญาณที่ได้รับเกียรติจากอัลเลาะห์นี่เองที่ทำให้ชีวิตเริ่มคืบคลานเข้าสู่ร่างของอาดัม
หลังจากที่เคยเป็นเพียงรูปปั้นดิน
ที่ขึ้นรูปมาจากดินเหนียวที่หมักทิ้งไว้จนมีกลิ่น
ร่างมนุษย์ที่ประกอบด้วยเนื้อหนังมังสา
กระดูก เลือด
และเส้นเอ็นต่างๆ
จึงเริ่มขยับและเคลื่อนไหว ทั้งนี้ด้วยพลังและเดชานุภาพของผู้ทรงสร้างสรรค์
และทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง.
“มวลมะลาอิกะห์ได้ลงกราบอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งหมด “ (อัลฮิจร์ : 30) เป็นการแสดงความคารวะแก่มนุษย์ที่อัลเลาะห์ได้สร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงและสลับซับซ้อน
และได้เป่าวิญญาณที่พระองค์เป็นเจ้าของเข้าไปในร่างของเขา
และพระองค์ได้สถาปนาให้เขาเป็นผู้แทนของพระองค์บนพื้นพิภพแห่งนี้. มหาบริสุทธิ์แด่ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงยิ่งใหญ่.
อัลเลาะห์ประทานความรู้ให้แก่มนุษย์
อัลเลาะห์ (ซ.บ) ประสงค์ที่จะอธิบายให้มวลมะลาอิกะห์ได้ทราบด้วยหลักฐานที่เป็นวิชาการอย่างชัดเจนว่าเหตุใดพระองค์จึงใช้พวกเขาให้โค้งคำนับต่ออาดัม
เป็นการโค้งคำนับเพื่อแสดงความคารวะ ยกย่องและให้เกียรติ, ดังนั้นอัลเลาะห์จึงได้สอนอาดัมให้รู้จักชื่อของสรรพสิ่งต่างๆ
เช่นต้นไม้ กลางคืน กลางวัน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ชื่อของสัตว์ และชื่อของทุกสิ่งที่อยู่รอบกายของเขา ความรู้ที่ว่านั้นคือสิ่งที่อัลเลาะห์ (ซ.บ) ได้กล่าวไว้ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า
:
“
และอัลเลาะห์ได้สอนอาดัม ให้รู้จักชื่อของสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งหมด
หลังจากนั้นพระองค์ได้นำสิ่งของเหล่านั้นไปเสนอต่อมวลมะลาอิกะห์
แล้วกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงบอกฉันถึงชื่อสิ่งของเหล่านี้
ถ้าหากพวกเจ้าพูดความจริง พวกเขากล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ผู้ทรงสะอาดบริสุทธิ์ พวกเราไม่มีความรู้อะไร
นอกจากที่พระองค์ได้สอนพวกเราไว้เท่านั้น
พระองค์ท่านทรงรอบรู้ยิ่งทรงหยั่งรู้ยิ่ง
อัลเลาะห์จึงกล่าวแก่อาดัมว่า เจ้าจงบอกพวกเขาถึงชื่อของสิ่งเหล่านี้ เมื่ออาดัมได้บอกพวกเขาถึงชื่อสิ่งของเหล่านั้นแล้ว
อัลเลาะห์ได้ตรัสว่าเราไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือว่าเรารู้สิ่งเร้นลับในชั้นฟ้าและแผ่นดิน
และเรารู้สิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยและปิดบัง “ (อัลบะกอเราะห์ : 31-33)
และนี่คือความมหัศจรรย์ในการสร้างอาดัม ให้อาดัมมีสติปัญญา ประทานความรู้ให้แก่อาดัมซึ่งต่อไปลูกหลานของเขาก็จะรับมรดกสืบทอดความรู้นี้ไปเพื่อพัฒนาโลกนี้และสร้างพื้นฐานของชีวิตในโลก.
ความมหัศจรรย์งานสร้างของอัลเลาะห์ของอัลเลาะห์ก็คือให้อาดัมพูดได้
และสามารถเรียกขานชื่อของสิ่งต่างๆได้ ตามที่อัลเลาะห์ ตาอาลาสอนให้เขา.
อายะห์อัลกุรอานที่กล่าวมาได้อธิบายให้พวกเราได้ทราบว่าอัลเลาะห์
ตาอาลาได้สนทนากับมวลมะลาอิกะห์ของพระองค์
โดยบอกพวกเขาให้รู้ว่าพระองค์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้, และนี่คืออาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์, ที่ต่อไปลูกหลานของเขาก็จะรู้จักชื่อของสรรพสิ่งต่างๆ
ได้เช่นเดียวกับเขา และจะเรียนรู้การพัฒนาชีวิตในโลก,
และจะก้าวไกลไปพร้อมกับวิชาการและสติปัญญาที่อัลเลาะห์ได้มอบไว้ให้แก่พวกเขา.
ทำไมอัลเลาะห์จึงสร้างอาดัมให้มีรูปร่างที่สวยงาม และทำไมอัลเลาะห์จึงมอบความรู้ให้แก่เขา ?
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอัลเลาะห์ (ซ.บ) เป็นผู้ทรงรอบรู้
และความรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสิ่ง พระองค์รู้สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป, ดังนั้นพระองค์จึงมีความประสงค์ที่
เปิดเผยความรู้ของพระองค์, พระองค์ได้มอบความรู้อันน้อยนิดให้แก่อาดัมจากความรู้อันกว้างขวางหาขอบเขตไม่ได้ของพระองค์ และพระองค์ได้มอบความรู้นั้นให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานของอาดัม เพื่อพวกเขาจะได้รู้จักอัลเลาะห์
ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ด้วยความรู้ และความมั่นใจ
พวกเขาจะรู้จักอัลเลาะห์ด้วยสติปัญญา
ด้วยความคิด
พวกเขาจะกล่าวคำสดุดี
แซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ ก้มกราบสุหยูดต่อพระองค์ และขอบคุณพระองค์ที่ได้ประทานความโปรดปรานอย่างมากมายมหาศาลให้แก่พวกเขา
“ และถ้าหากพวกเจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลเลาะห์
พวกเจ้าจะไม่สามารถนับได้ครบถ้วนหรอก “
(อิบรอฮีม : 34 –อันนะห์ลิ :18)
อัลเลาะห์เป็นผู้สร้างจักรวาลนี้
พระองค์ทรงกำกับดูแล และควบคุมจักรวาล พระองค์มีวาจาสิทธิ์ ประสงค์สิ่งใด เป็นไปตามนั้น
มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้จะได้รับผลตอบแทนจากอัลเลาะห์
ตามการกระทำของพวกเขา ถ้าหากพวกเขาสำนึกในบุญคุณของพระองค์ อัลเลาะห์จะเพิ่มพูนความดีให้แก่พวกเขา,
เพราะคลังของอัลเลาะห์จะไม่มีวันหมด อำนาจของพระองค์แผ่ไพศาล, และถ้าหากพวกเขาไม่สำนึกในบุญคุณของพระองค์ พวกเขาจะได้รับการลงโทษ
และถูกขับออกไปให้ไกลห่างจากความเมตตาของพระองค์ผู้เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา.
การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว
อัลเลาะห์ได้บัญชาให้มะลาอิกะห์โค้งคำนับต่ออาดัม
“ มวลมะลาอิกะห์ทั้งปวงได้โค้งคำนับ, นอกจากอิบลีส
ที่ฝ่าฝืน ไม่ยอมโค้งคำนับ “ (อัลฮิจร์ : 30 -31) นี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้,
อิบลีส ที่ถูกสาปแฃ่ง, ชัยตอนที่ถูกขว้างปา
ได้ขัดคำสั่งขององค์อภิบาล ได้แสดงความโอหัง และหยิ่งยโส ไม่ยอมโค้งคำนับต่ออาดัม
เฉกเช่นเดียวกับที่มวลมะลาอิกะห์ทั้งหลายได้โค้งคำนับ
เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลเลาะห์ ครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น,
เป็นการฝ่าฝืนครั้งแรกที่เกิดขึ้นในจักรวาล, เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายต่างก็กล่าวคำสดุดีและสรรเสริญอัลเลาะห์ทั้งสิ้น,
ทุกสิ่งรู้ดีว่าผู้สร้างพวกตนขึ้นมาคือพระองค์อัลเลาะห์
ต่างก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ด้วยการกล่าวคำสดุดีและยกย่องในความบริสุทธิ์ของพระองค์
“
ไม่มีสิ่งใดนอกจากมันจะกล่าวคำสดุดีพร้อมด้วยสรรเสริญอัลเลาะห์
แต่พวกท่านไม่เข้าใจคำสดุดีของพวกเขา “ (อัลอิสรออ์ : 44)
“ ผู้ที่อาศัยอยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินต่างพากันยอมสยบต่ออัลเลาะห์ ทั้งโดยสมัครใจและโดยจำใจ “ (อัรเราะอ์ดุ : 15)
มีแต่เพียงอิบลีสเท่านั้นที่โอหังและทระนงไม่ยอมภักดีต่ออัลเลาะห์
ดังนั้นอัลเลาะห์จึงถามมันว่า :
“ โอ้
อิบลีส ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมอยู่ในพวกที่โค้งคำนับต่ออาดัม “ (อัลฮิจร์ : 32) ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมโค้งคำนับต่ออาดัม ? ทั้งที่เราได้บัญชาให้เจ้าโค้งคำนับ
เจ้าอยู่ในอำนาจของเรา และอยู่ภายใต้ประสงค์ของเรา เราเป็นผู้สร้างเจ้า
และกิจการของเจ้าด้วยมือของเราเอง. อิบลีส กล่าวตอบว่า :
“ ฉันจะไม่ยอมโค้งคำนับมนุษย์
ที่พระองค์ท่านสร้างเขาขึ้นมาจากดินที่ปล่อยไว้จนแข็ง
จากดินเหนียวที่หมักไว้จนมีกลิ่น “
(อัลฮิจร์ : 33)
นี่คือความยโสโอหัง ยกตนข่มท่าน และอิจฉาริษยา
อิบลีสจึงกล่าวตอบว่า : ฉันดีกว่า อาดัม
เพราะพระองค์ท่านได้สร้างฉันขึ้นมาจากไฟ
และสร้างเขาขึ้นมาจากดิน , ในความเชื่อของอิบลีสก็คือ
ไฟดีเลิศกว่าดิน.
แต่… ใครคือผู้กำหนดความเป็นเลิศ
?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้กำหนดความเป็นเลิศ
ก็คือพระองค์อัลเลาะห์ ผู้ทรงสร้าง .
แล้วใครเป็นผู้สร้างอิบลีส ?
แน่นอนอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเป็นผู้สร้าง
.. พระองค์ได้สร้างอิบลีสขึ้นมาจากไฟที่ร้อนแรง, ความเป็นเลิศนั้นได้แก่มะลาอิกะห์ที่พระองค์สร้างพวกเขาขึ้นมาจากแสง
(นูร) แต่มะลาอิกะห์ก็ไม่ได้แสดงความยโสโอหัง
พวกเขายอมปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลเลาะห์ แต่โดยดี พวกเขาได้โค้งคำนับต่ออาดัม
ตามประสงค์ของอัลเลาะห์เพื่อให้เกียรติกับสิ่งที่อัลเลาะห์ได้สร้างขึ้นมาจากดิน.
แต่อิบลีส
ที่อัลเลาะห์สร้างมันขึ้นมาจากไฟ
กลับดื้อดึง และแสดงความยโสโอหัง เพราะความผูกพยาบาท ความอิจฉาริษยา
และต้องการทำให้จักรวาลนี้แปดเปื้อนด้วยความชั่วร้าย ทั้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย.
ด้วยเหตุนี้เมื่อเราพบคนที่แสดงความยโสโอหัง
หรือความผูกพยาบาท และความอิจฉาริษยา หรือพยายามทำความชั่ว เราจะเรียกเขาว่าเป็นชัยตอน เพราะเขาได้เปลี่ยนสภาพตนเองไป
เป็นสมาชิกคนหนึ่งของพลพรรคอิบลีสไปแล้ว, เขาต้องการให้ความสุขมลายไปจากผู้อื่น
นั่นคือแรงกระตุ้นของความชั่วร้าย ที่จะทำร้ายจิตใจ ทำลายความสัมพันธ์ที่ดี และคุกคามบุคลิกภาพที่งดงามของมนุษย์.
อิบลีสเป็นมะลาอิกะห์ใช่ไหม ?
นี่เป็นคำถามที่สำคัญ ที่ท้าทายให้คนเป็นจำนวนมากหาคำตอบว่า
อิบลีสเป็นมะลาอิกะห์ใช่ไหม ? เพราะอิบลีสอยู่กับมวลมะลาอิกะห์ ในวันที่อัลเลาะห์สร้าง อาดัม (อ.ล).
เราสามารถที่จะกล่าวได้ว่าสรรพสิ่งต่างๆ
ที่อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างขึ้นภายหลังจากสร้างฟ้าและแผ่นดินแล้วมี สามอย่าง :
หนึ่ง : มะลาอิกะห์ ที่อัลเลาะห์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาจากแสง (นูร) และให้ฟากฟ้าเป็นถิ่นพำนักของพวกเขา
พวกเขาไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่ฝ่าฝืนคำบัญชาของอัลเลาะห์ พวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์อย่างเคร่งครัด.
สอง : ชัยตอน , อิบลีส ที่ถูกสาปแช่ง
อัลเลาะห์สร้างมันขึ้นมาจากไฟ และให้โลกนี้เป็นสถานที่พำนักของพวกมัน มันจะพำนักอยู่ในที่รกร้าง และสถานที่สกปรก
เช่นตามห้องน้ำที่เมื่อพวกเราเข้าไปก็จะต้องขอความปกป้องคุ้มครองจากอัลเลาะห์ให้พ้นจากชัยตอน
ทั้งเพศผู้และเพศเมีย พวกมันจะกิน จะดื่ม
และมีการสืบพันธุ์.
สาม : มนุษย์ ที่อัลเลาะห์
ทรงสร้างขึ้นมาจากดิน
และพระองค์ได้ให้เกียรติมนุษย์ โดยเป่าวิญญาณจากพระองค์เข้าไปในร่าง
และได้ให้ความเป็นเลิศแก่มนุษย์ยิ่งกว่าสรรพสิ่งอื่นๆ ที่พระองค์ได้สร้างขึ้นอีกมากมาย
และพระองค์ได้ใช้ให้มวลมะลาอิกะห์โค้งคำนับ
และพระองค์ได้ให้โลกนี้เป็นที่พำนักของมนุษย์ โดยมนุษย์จะกิน จะดื่ม
และแต่งงานกันเพื่อสืบสายพันธุ์ให้คงอยู่ เพื่อพัฒนาจักรวาล
และยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น.
อัลเลาะห์ได้สร้างมะลาอิกะห์ขึ้นก่อนแล้วต่อมาก็ ชัยตอน, ชัยตอนได้มาอยู่ปะปนกับ มะลาอิกะห์
ใช้ชีวิตคล้ายกับเป็นมะลาอิกะห์
และเลียนแบบมะลาอิกะห์ในการทำอิบาดะห์ กระทำเหมือนที่มะลาอิกะห์กระทำ,ชัยตอนไม่ได้พอใจในความดีและอิบาดะห์ที่มะลาอิกะห์กระทำ, แต่สมองและจิตใจของมันเต็มไปด้วยความอาฆาตมะลาอิกะห์ แต่มันไม่สามารถจะเปิดเผยได้
โดยที่ตนเองอาศัยรวมอยู่กับพวกเขา
เพราะชัยตอนได้อาศัยอยู่กับมะลาอิกะห์เป็นเวลาที่ยาวนาน
โดยไม่มีผู้ใดรู้นอกจากอัลเลาะห์ (ซ.บ)
เท่านั้น
ดังนั้นมันจึงอยู่กับมวลมะลาอิกะห์ด้วยขณะที่อัลเลาะห์โต้ตอบกับมะลาอิกะห์
และมีบัญชาแก่พวกเขาให้โค้งคำนับต่ออาดัม ดังอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า :
“ และเมื่อเราได้กล่าวแก่มะลาอิกะห์ว่าพวกเจ้าจงโค้งคำนับต่ออาดัม พวกเขาได้โค้งคำนับยกเว้นอิบลีส
ที่มันเป็นพวกญิน มันได้ละเมิดคำสั่งองค์อภิบาลของมัน “ (อัลกะห์ฟิ
: 50)
เพราะจิตใจของมันถูกกำเนิดอยู่บนความชั่วร้าย ความชิงชัง ความอาฆาต
และความอิจฉาริษยา และเพราะมันเชื่อว่าไฟ ดีเลิศกว่าดิน. อัลเลาะห์ได้ตรัสไว้ว่า :
“อัลเลาะห์ตรัสถามว่าอะไรห้ามเจ้าไม่ให้โค้งคำนับขณะเมื่อเราบัญชาเจ้า
มันกล่าวว่าฉันดีกว่าเขาเพราะพระองค์ท่านสร้างฉันจากไฟ และพระองค์ท่านสร้างเขาจากดิน
“ (อัลอะอ์รอฟ : 12)
ดังนั้นมุสลิมจะต้องหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากความประพฤติอันเลวทรามเหล่านี้อันได้แก่
ความยโสโอหัง ความอาฆาต และความอิจฉาริษยา
เพื่อเขาจะไม่ตกไปเป็นบริวารของอิบลีส.
อิบลีสถูกขับออกจากสวรรค์
สวรรค์เป็นสถานที่งดงาม เพราะเป็นสถานที่ ที่มนุษย์จะได้รับแต่ความสุข
ความสะดวก สบาย ความปีติยินดี
อัลเลาะห์ได้สร้างสวรรค์ให้เป็นสถานบรมสุขอันเป็นนิรันดร ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน
นอกจากอัลเลาะห์ (ซ.บ) เท่านั้น
ในสวรรค์มีผลไม้รสชาติดีมากมาย
มีเนื้อสัตว์ที่ เอร็ดอร่อย มีเนื้อนกที่น่ารับประทาน มีน้ำผึ้งบริสุทธิ์ มีน้ำนมที่ไม่เปลี่ยนแปลงรสชาติของมัน
และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการทั้งอาหารเครื่องดื่มเสื้อผ้าแพรพรรณ
และที่อยู่อาศัย และสาวสวรรค์ที่งดงาม.
อิบลีสอยู่กับมะลาอิกะห์ในสวรรค์นี้
ต่อมาเมื่อมันละเมิดคำบัญชาของอัลเลาะห์ และดื้อดึงต่อองค์อภิบาล อัลเลาะห์จึงขับไล่มันออกจากสวรรค์ อิบลีสยิ่งเพิ่มความดื้อดึงมากขึ้น
มันกล่าวกับองค์ผู้อภิบาลว่า :
ตราบใดที่พระองค์ให้เกียรติยกย่องอาดัม มากกว่าฉัน
ท่านได้ให้เขาพำนักอยู่ในสวรรค์
ของท่าน
และท่านได้ขับไล่ฉันออกจากสวรรค์เพราะอาดัมเป็นต้นเหตุ
ต่อไปฉันจะต้องขัดขวางเขาทุกวิถีทางที่เป็นความดี และลวงล่อเขาให้ออกไปจากเส้นทางของความดี และจะทำให้เขาเห็นว่าความสนุกสนาน
และการละเล่นเพลิดเพลินต่างๆ เป็นความดี
ฉันจะปลูกฝังความชั่ว ความผูกพยาบาท ความอิจฉาริษยา
ความยโสโอหังให้เกิดในระหว่างจิตใจบุตรหลานของเขา, เพื่อในที่สุดพวกเขาก็จะต้องได้รับการสาปแช่งเช่นเดียวกับที่ฉันได้รับ.
อัลเลาะห์ ตาอาลาตรัสว่า :
“ โอ้อิบลีส เจ้าจงออกไปจากสวรรค์
เพราะเจ้าเป็นผู้ที่ถูกขับไล่ไสส่งให้พ้นไปจากความดีทั้งปวง
และเจ้าจะถูกสาปแช่งจนถึงวันตัดสิน “
(อัลฮิจร์ : 34-35) และคนที่อยู่พร้อมกับเจ้าในเส้นทางที่หลงผิด
เส้นทางของความชั่วและปฏิเสธอัลเลาะห์ ก็จะถูกสาปแช่งด้วยเช่นเดียวกัน
เขาจะได้รับความตกต่ำในโลกนี้ และได้รับความขาดทุนในอาคิเราะห์ สิ่งที่พวกเจ้าจะได้รับตอบแทนคือนรก ญะฮันนัม
ที่เชื้อเพลิงของมันก็คือมนุษย์ และก้อนหิน, ส่วนสวรรค์นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตัวเจ้า
และพวกที่ปฏิบัติตามเจ้า.
อิบลีสกล่าวว่า : ตราบที่พระองค์ท่านขับไล่ฉันออกจากสวรรค์
และห้ามฉันไม่ให้ได้รับความเมตตาของพระองค์ท่าน
ขอพระองค์ท่านได้โปรดมอบสิ่งหนึ่งให้แก่ฉัน และลูกหลานของฉัน
โดยพระองค์ท่านจะต้องไม่มอบมันให้แก่ผู้ใดอีกเลย.
อัลเลาะห์ ตรัสถามว่า : เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือ โอ้อิบลีส
ผู้น่าชิงชัง ?
อิบลีสตอบว่า : ได้โปรดยืดอายุ
และกำหนดความตายของฉันออกไปจนถึงวันกิยามะห์
“… อิบลีสกล่าวว่าข้าแด่องค์อภิบาลของฉัน
ได้โปรดร่นกำหนดความตายของฉันออกไปจนถึงวัน กิยามะห์ “ (อัลฮิจร์ : 36)
อัลเลาะห์ ตอบว่า :“ ดังนั้นเจ้าจะได้รับการร่นกำหนดความตายออกไปจนถึงวันกิยามะห์ “ (อัลฮิจร์ : 37-38)
อัลลาะห์ได้ตอบรับคำขอของอิบลีส
และให้สัญญากับมันว่าจะให้มันมีชีวิตอยู่จนถึงวัน กิยามะห์
และอัลเลาะห์ (ซ.บ) ได้เตือนพวกเราให้ระมัดระวังอิบลีส เพื่อพวกเราจะได้ไม่ติดกับดักของมัน
พระองค์ได้เตือนว่า :
“ แท้จริงชัยตอนเป็นศัตรูของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงถือว่ามันเป็นศัตรูเถิด อย่าเชื่อฟังและปฏิบัติตามมัน
ความจริงมันจะเรียกร้องเชิญชวนบริวารของมันไปสู่ความหลงผิดเพื่อพวกเขาจะได้เป็นชาวนรก
“ (ฟาติร :
6)
อาดัมและเฮาวาอ์ .. ในสวรรค์
อัลเลาะห์ได้ให้อาดัมพำนักอยู่ในสวรรค์
และพระองค์ประสงค์จะผ่อนคลายอาดัมจากความเปล่าเปลี่ยว เดียวดาย
และประสงค์ให้อาดัมอยู่ในสวรรค์ของพระองค์อย่างอบอุ่นใจ
พระองค์จึงได้ถอดซี่โครงซี่หนึ่งของอาดัมออกไป
และได้สร้างเฮาวาอ์ขึ้นจากกระดูกซี่โครงนั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นขณะที่อาดัมนอนหลับ เมื่อตื่นขึ้นเขาพบเฮาวาอ์ อยู่ข้างกายของเขา องค์อภิบาลบอกเขาว่าผู้นี้คือคู่ชีวิตของเขา
ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดอายุขัยของเขา.
อาดัมทรุดกายลงกราบ แสดงความขอบคุณอัลเลาะห์ที่ได้ประทานความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่นี้
เมื่อเราให้ความสนใจกับเรื่องนี้เราก็จะพบว่าอาดัมนั้น
อัลเลาะห์สร้างเขาขึ้นมาจากดินเหนียวที่หมักไว้จนมีกลิ่นโดยไม่มีพ่อไม่มีแม่
และเราก็จะพบว่าเฮาวาอ์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของอาดัม คล้ายกับอาดัมเป็นพ่อของเฮาวาอ์ และเฮาวาอ์ก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีแม่ เพราะอัลเลาะห์ทรงความสามารถทำได้ทุกสิ่ง พระองค์เพียงผู้เดียวที่เป็นผู้สร้าง
พระองค์จึงนำเสนองานสร้างและความสามารถของพระองค์ให้พวกเราได้พิจารณา.
อัลเลาะห์ได้กล่าวแก่อาดัมและเฮาวาอ์ว่า : เจ้าทั้งสองคนจงพำนักอยู่ในสวรรค์ของเราเถิดและจงรับประทานได้ตามสบาย
ตามที่เจ้าทั้งสองคนต้องการ
ยกเว้นต้นไม้เพียงต้นเดียวที่
อัลเลาะห์ได้กำหนดไว้
พระองค์ตรัสแก่คนทั้งสองว่า : “ และเจ้าทั้งสองอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้เป็นอันขาด
จะเป็นเหตุให้เจ้าทั้งสองคนเป็นผู้ละเมิด “ (อัลบะกอเราะห์ :
35)
ความจริงอัลเลาะห์จะทรงทดสอบศรัทธาของบ่าวของพระองค์อยู่เสมอ
พระองค์จะให้บ่าวของพระองค์ตกอยู่ในสถานการณ์ของการทดสอบ
และการพิสูจน์ศรัทธาของพวกเขา โดยพระองค์ทรงทราบดีถึงผลของการทดสอบและพิสูจน์นั้น แต่พระองค์ต้องการเปิดเผยให้แก่มนุษย์ทุกคนได้ทราบถึงผลลัพธ์จากการกระทำของเขา
และวาระสุดท้ายของเขา ดังนั้นพระองค์จึงได้ตรัสว่า : “ ความจริงเราได้กำชับอาดัมไว้ก่อนแล้ว
ไม่ให้รับประทานผลจากต้นไม้นั้น
แต่ต่อมาเขาก็ลืมคำกำชับของเรา
เราไม่พบว่าเขาได้จดจำคำกำชับนั้นไว้ “ (ตอฮา : 115) ชัยตอนได้ฉวยโอกาสสร้างความสับสนให้เกิดแก่อาดัมและเฮาวาอ์
ลวงล่อ หว่านล้อม และชักจูงคนทั้งสองให้เข้าใกล้ต้นไม้ต้องห้ามนั้น
และหาคำแก้ตัวให้คนทั้งสองว่าที่อัลเลาะห์ห้ามเขาทั้งสองรับประทานผลจากต้นไม้นั้นก็เพราะเมื่อเขาทั้งสองรับประทานมันเข้าไป เขาทั้งสองจะกลายเป็นมะลาอิกะห์
หรือพระองค์จะต้องให้เขาทั้งสองมีชีวิตที่เป็นอมตะตลอดไป “ ชัยตอนได้สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นกับคนทั้งสอง
เพื่อทำให้คนทั้งสองละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์ด้วยการรับประทานจากต้นไม้ต้องห้ามนั้น
เพื่อในที่สุดคนทั้งสองก็จะเผยส่วนอันพึงสงวนอันเป็นสิ่งน่าละอายของคนทั้งสองที่ถูกปกปิดไว้
ชัยตอนได้กล่าวในการลวงล่อคนทั้งสองของมันว่า ที่อัลเลาะห์ห้ามเจ้าทั้งสองรับประทานผลจากต้นไม้นี้ก็
เพราะไม่ต้องการให้เจ้าสองกลายเป็นมะลาอิกะห์
หรือเพราะพระองค์ไม่ต้องการให้เจ้าทั้งสองมีชีวิตที่เป็นอมตะตลอดไป “ (อัลอะอ์รอฟ : 20) ชัยตอน ผู้น่าชิงชัง
ได้รับชัยชนะในการลวงล่อและทำให้คนทั้งสองพอใจที่จะละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์ “ … เมื่อคนทั้งสองได้ลิ้มรสผลจากต้นไม้ต้องห้ามนั้นส่วนที่พึงสงวนอันเป็นสิ่งที่น่าอับอายของคนทั้งสองก็เผยออกมาแก่เขาทั้งสอง
โดยสิ่งที่อัลเลาะห์ ปกปิดมันไว้ก่อนการละเมิดได้หายไป
คนได้สองได้ใช้ใบไม้ในสวรรค์ปกปิดส่วนที่พึงสงวนของคนทั้งสอง องค์อภิบาลได้เรียกคนทั้งสองว่า
เราไม่ได้ห้ามเจ้าทั้งสองคนหรือว่าห้ามรับประทานผลจากต้นไม้นั้น เราไม่ได้บอกแก่เจ้าทั้งสองหรือว่าชัยตอน
เป็นศัตรูที่ประกาศความเป็นศัตรูของมันอย่างชัดเจนกับเจ้าทั้งสอง ? “ (อัลอะอ์รอฟ : 22) บนร่างกายของคนทั้งสองเคยมีสิ่งที่อัลเลาะห์ปกปิดไว้แม้ทั้งสองคนจะอยู่ในสภาพเปลือยกายก็ตาม
และทั้งสองคนได้เปิดมันออกด้วยการละเมิดคำสั่งของพระองค์ คนทั้งสองจึงจำต้องแสวงหาสิ่งที่จะนำมาปกปิดร่างกาย
โดยการเก็บใบไม้เพื่อนำมาเป็นเครื่องปกปิดส่วนที่พึงสงวนบนเรือนร่างของเขาทั้งสอง.
คล้ายกับอัลเลาะห์ต้องการให้เราเห็นว่าการละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์
ทำให้ส่วนที่พึงสงวนของร่างกายต้องเปิดออก
และการละเมิดคำสั่งนั้นทำให้สิ่งที่ถูกปกปิดไว้ได้รับความอับอาย แน่นอนว่าการละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์ย่อมต้องถูกลงโทษ แล้วโทษของอาดัม กับ เฮาวาอ์ คืออะไร ?
อัลเลาะห์ ตาอาลา มีบัญชาว่า : “ อาดัม และเฮาวาอ์ เจ้าทั้งสองจงลงไปจากสวรรค์สู่ผืนดินพร้อมด้วยอิบลีส
โดยเจ้าทั้งสองและอิบลิสเป็นศัตรูต่อกัน ต่อไปเมื่อมีแนวทางที่ถูกต้องและคำแจกแจงจากเราไปยังพวกเจ้า
ดังนั้นผู้ใดที่ยอมปฏิบัติตามแนวทางและคำแจกแจงของเรา
เขาจะได้รับแนวทางที่ถูกต้องในโลกนี้
และเขาจะไม่ได้รับสิ่งชั่วร้ายตอบแทนในอาคิเราะห์
ส่วนผู้ที่เบือนหนีจากการรำลึกถึงเรา เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น
แม้ภายนอกจะดูมีความสุขสบายก็ตาม
และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะห์ในสภาพที่มืดบอด “ (ตอฮา: 123 -124)
อาดัมและเฮาวาอ์ ได้ลงมาสู่ผืนดิน
ทั้งสองรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ
เพราะทั้งสองได้จากสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความสุขสบายมา เขาทั้งสองได้มาสู่ชีวิตที่ต้องต่อสู้ ดิ้นรน และเหน็ดเหนื่อย ณ ผืนดินแห่งนี้ธาตุแท้ของทุกสิ่งที่อัลเลาะห์สร้างจะปรากฏชัดเจน ชัยตอนทั้งที่มันรู้ว่ามันทำความผิด แต่มันก็ยังคงดื้อดึง
และละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์
ส่วนมนุษย์นั้นแม้บางครั้งจะทำบาป แต่ก็ยังสำนึกผิดและกลับตัวเป็นคนดี
นี่เป็นสิ่งที่เกิดกับอาดัม และเฮาวาอ์ ขณะที่เขาทั้งสองได้ยกมือขึ้นวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์
และแสดงความเสียใจ เขาทั้งสองได้กล่าวว่า : “ ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา
เราได้ทุจริตต่อตัวเองไปแล้ว ถ้าหากท่านไม่ยอมยกโทษให้เรา
และไม่ให้ความเมตตาแก่เรา
แน่นอนว่าเราจะต้องรวมอยู่ในพวกที่ขาดทุน “ ( อัลอะอ์รอฟ : 23)
อัลเลาะห์ รับคำวิงวอนของอาดัม และ เฮาวาอ์ และรับการกลับตัวของคนทั้งสอง
เพราะพระองค์เป็นผู้รับการกลับตัวกลับใจของบ่าว อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง พระองค์ทรงให้อภัยไม่ถือโทษ
พระองค์จะยกโทษให้แก่ผู้ที่ทำความผิด แล้วสำนึกตัวกลับใจเป็นคนดี.
เริ่มมีการสืบสายพันธุ์
อัลเลาะห์ บัญชาให้อาดัม แต่งงานกับ เฮาวาอ์ เป็นการแต่งงานที่มีความดีเพิ่มพูนยิ่ง เฮาวาอ์
ตั้งครรภ์แล้วคลอดบุตรเป็นคู่ๆ คือเพศชายหนึ่งคนและเพศหญิงหนึ่งคน
การตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นไปอย่างต่อเนื่องกัน
ทุกครั้งเฮาวาอ์จะให้กำเนิดเป็นบุตรแฝดเพศชายหนึ่งคนและเพศหญิงหนึ่งคน
ในเมื่อสังคมมนุษย์ยุคนั้นยังไม่มีใครอื่นนอกจากอาดัม และเฮาวาอ์
กับบุตรที่เกิดจากคนทั้งสอง
อาดัมได้รับการชี้นำจากพระเจ้าให้ทำการแต่งงานบุตรชายจากท้องแรก
กับบุตรหญิงจากท้องที่สอง
และบุตรชายจากท้องที่สอง กับบุตรหญิงจากท้องแรก เพราะถือว่าแต่ละท้องเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา และอัลเลาะห์มีประสงค์จะให้ ฮาบีล
ได้แต่งงานกับ น้องสาวที่เป็นคู่ของกอบีล
ซึ่งเป็นหญิงรูปงาม มีเสน่ห์ชวนมอง
กอบีลต้องการเอาน้องสาวที่เป็นคู่ของตนไว้เสียเองและต้องการแต่งงานด้วย อาดัมได้กล่าวแก่กอบีล ว่า :
-
จะแต่งงานกันไม่ได้ !
นี่เป็นบัญชาของอัลเลาะห์ เจ้าจะฝ่าฝืนบัญชาของอัลเลาะห์
ไม่ได้
แต่กอบีล ขัดขืนคำสั่งของอัลเลาะห์
และไม่ยอมเชื่อฟังคำแนะนำของผู้เป็นบิดา
ชัยตอนได้เข้าครอบงำเขาเสียแล้ว มันได้ทำให้กอบีล
เห็นว่าความดื้อดึงของตนมีความสำคัญกว่าการรับฟังคำแนะนำจากบิดา มันทำให้ดวงตาของเขามืดบอด
มันทำให้สติปัญญาของเขาทึบ ดังนั้น กอบีล
จึงยังคงยืนกรานที่จะแต่งงานกับน้องสาวที่เป็นคู่ของตนให้ได้.
อาดัม
ประสงค์จะทำให้บุตรชายทั้งสองของตนพ้นจากจุดอับนี้ จึงได้กล่าวแก่บุตรชายทั้งสองว่า : เจ้าทั้งสองจงกลับคืนสู่ความประสงค์ของอัลเลาะห์
และการเลือกสรรของพระองค์เถิด
เจ้าทั้งสองจงมอบหมายให้อัลเลาะห์เป็นผู้ตัดสินในเรื่องนี้ระหว่างเจ้าทั้งสองเถิด โดยให้เจ้าแต่ละคนนำกุรบาน (เครื่องพลี) ไปถวายต่ออัลเลาะห์
ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
ผู้ใดที่อัลเลาะห์รับ
กุรบานของเขา แสดงว่าพระองค์พอใจเขา
และในขณะเดียวกันก็ถือว่าผู้นั้นได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับน้องสาวของกอบีลผู้เลอโฉม.
ฮาบีลนั้นประกอบอาชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ ส่วนกอบีล มีอาชีพเพาะปลูกข้าวสาลี
ฮาบีลได้ทำการคัดเลือกสัตว์ตัวที่ดีที่สุดที่ตนมี และถวายเป็นกุรบานเพื่ออัลเลาะห์
ผู้ทรงยิ่งใหญ่และ
เกียงไกร
เพื่อทำให้อัลเลาะห์พอพระทัย. ส่วนกอบีล
ได้นำสิ่งที่เลวที่สุดที่ตนมีจากผลิตผลการเกษตรของตน และได้ถวายเป็นกุรบานเพื่ออัลเลาะห์ โดยไม่หวั่นไหวว่าจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร .
ในทีสุดฮาบีล ก็ได้รับข่าวดี … อัลเลาะห์ทรงรับกุรบานของเขา อาดัมจึงได้กล่าวขึ้นว่า :
- บัดนี้ อัลเลาะห์ ได้ตัดสินข้อพิพาทแล้ว,
พระองค์พอพระทัยให้ฮาบีล ได้แต่งงานกับน้องสาวคู่ของกอบีล
และจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของอัลเลาะห์ และต้องพอใจคำตัดสินนั้น.
อิบลีสได้เคยแสดงความยโสโอหังต่อคำบัญชาของอัลเลาะห์มาแล้ว มาบัดนี้บุตรชายคนหนึ่งของอาดัม
กำลังเจริญรอยตามอิบลีส และเดินตามเส้นทางของมัน
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต และอิจฉาริษยา หูเขาหนวกไม่ได้ยินคำตักเตือนจากผู้เป็นบิดา เขากล่าวแก่ฮาบีลว่า :
-
ถ้าหากเจ้าแต่งกับน้องสาวคู่ของฉัน ฉันจะต้องสังหารเจ้าอย่างแน่นอน.
แต่ฮาบีล คนดี มีคุณธรรม กล่าวแต่เพียงว่า : “ ถ้าหากเจ้ายื่นมือของเจ้ามาเพื่อสังหารฉัน
ฉันจะไม่ยื่นมือของฉันไปสังหารเจ้าหรอก
ฉันกลัวอัลเลาะห์ ผู้อภิบาลสากลโลก “ (อัลมาอิดะห์ : 28)
แต่กอบีลนั้นขณะนี้อารมณ์ใฝ่ต่ำได้เข้าครอบงำเขาเสียแล้ว เขาได้ลงมือสังหารฮาบีลจนเสียชีวิต
และนี่ถือเป็นการฆาตกรรมครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดิน และเป็นเลือดที่หลั่งชะโลมดินเป็นครั้งแรก.
กอบีลไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับศพของฮาบีล เขาแบกศพขึ้นบ่าและเดินตระเวนไปทั่ว
เขามีความประสงค์ประการเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ศพนั้นไกลจากสายตาของบิดา
สายตาของมารดา และสายตาของน้องสาวคู่ของเขาที่ต้องการจะแต่งงานด้วย เขายังคงแบกศพ
เดินไป และเดินไป โดยไม่รู้แห่งหน และไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับศพนั้น.
มีอีกาตัวหนึ่งมาสอนกอบีล
ถึงวิธีการที่จะปกปิดร่างของพี่น้องของเขา
นี่ถือเป็นความเมตตาของอัลเลาะห์ที่มอบให้แก่บ่าวของพระองค์ เพราะมนุษย์เมื่อเสียชีวิตไป และวิญญาณได้ขึ้นสู่องค์อภิบาลของเขานั้น
ร่างของเขาก็จะแข็งทื่อ ค่อยเปลี่ยนแปลง
ขึ้นอืด และเน่าเหม็น
นับเป็นความกรุณาของอัลเลาะห์ที่มีต่อลูกหลานของอาดัม
ที่พระองค์ได้สอนพวกเขาให้รู้จักวิธีการฝังศพคนที่เสียชีวิตไว้ใต้ดิน
เพื่อไม่ให้เป็นภาพที่อุจจาดตาแก่ผู้พบเห็น
และเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่โรคระบาด และโรคร้ายแรงต่างๆ
ที่สามารถแพร่กระจายสู่มนุษย์ได้จากซากศพที่ไม่ได้ฝังกลบอย่างมิดชิด.
ความโปรดปรานของอัลเลาะห์ที่ประทานให้แก่มนุษย์นั้นก็ใหญ่หลวงเช่นกัน อัลเลาะห์ได้ส่งอีกาสีดำสองตัวมา
มันทั้งสองตัวได้มาอยู่ในระยะที่กอบีลจะมองเห็น
และได้ต่อสู้กันและตัวหนึ่งได้เอาชนะอีกตัวหนึ่งได้และได้ฆ่ามันตาย
แต่มันมิได้มีความลังเลเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับกอบีล
ที่แบกร่างพี่น้องของเราโดยไม่รู้ว่าจะจัดการกับศพนั้นอย่างไร บัดนี้เบื้องหน้าของกอบีลมีภาพที่
น่าแปลกประหลาดเกิดขึ้น
นั่นก็คืออีกาตัวที่ชนะได้ใช้จงอยปากของมันลากอีกาตัวที่ตายไปยังหลุมที่มันได้ขุดขึ้นด้วยเล็บของมันก่อนหน้านี้ แล้วเอาอีกาตัวที่ตายใส่ลงไปในหลุมนั้น แล้วมันก็คุ้ยดินกลบ การกระทำของอีกานี้เป็นบทเรียนแก่มนุษย์ทั้งหมด
ไม่ใช่เป็นบทเรียนแก่กอบีลเท่านั้น กอบีลเห็นอีกาฝังศพของอีกาตัวที่มันฆ่าตาย … เขาจึงพูดว่า : “ ช่างน่าอนาถ
ฉันจะไม่สามารถทำได้เหมือนเช่นที่อีกาตัวนี้ทำหรือ
เพื่อฉันจะได้กลบร่างพี่น้องของฉัน “
(อัลมาอิดะห์ : 31)
กอบีลรู้สึกเสียใจ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
เขาตรอมใจจนในที่สุดก็เสียชีวิตไปอีกคน หนึ่ง
ชัยตอน ชนะในสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างมันกับลูกหลานของอาดัม, อาดัมเสียใจที่บุตรชาย ซึ่งเป็นคนดีมีคุณธรรมต้องจบชีวิตลง แต่เขาเป็นผู้มีศรัทธาต่อกำหนดของอัลเลาะห์
ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
และศรัทธาว่ามนุษย์ทุกคนมีกำหนดความตายที่แน่นอนอยู่แล้ว “ เมื่อกำหนดความตายของพวกเขามาถึง พวกเขาจะขอประวิงเวลาออกไป
หรือร่นกำหนดเข้ามาไม่ได้ “ (อัลอะอ์รอฟ : 34)
ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป ผืนแผ่นดินเต็มไปด้วยลูกหลานของอาดัม
จนมีจำนวนนับล้านๆ คนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปบนผืนปฐพีแห่งนี้ ซึ่งทั้งหมดนั้นมีมาจากต้นตอเดียวกัน มาจากคนๆ
เดียวคือ อาดัม … มนุษย์คนแรก
ผู้เป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติ.
จบชีวประวัติของท่านนบีอาดัม (อ.ล)
ต่อไปเป็นชีวประวัติของนบีอิดรีส (อ.ล)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น