วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อาดัม (อ.ล.) มนุษย์คนแรก

อาดัม (..) มนุษย์คนแรก

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์  ผู้อภิบาลสากลโลก ขอความเมตตา ความสันติสุขจงมีแด่ผู้นำของพวกเราที่ประเสริฐ คือ นบีมูฮำหมัด แด่วงศ์วาน และมิตรสหายของท่านทุกคน และขออัลเลาะห์ตาอาลา ได้โปรดพอพระทัยผู้คนที่เจริญรอยตามพวกเขาเป็นอย่างดี จวบจนถึงวันแห่งการตัดสิน.

            เรื่องราวต่อไปนี้คือ แบบฉบับของมวลมนุษย์ ที่พระองค์อัลเลาะห์ได้เลือกสรรจากมนุษย์นับจำนวนล้าน ๆ เพื่อให้พวกเขาได้ดำรงตำแหน่งนบีของอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์เพื่อทำหน้าที่ชี้นำมนุษยชาติสู่หนทางที่ถูกต้อง นั่นคือหนทางที่ศรัทธาพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งก็คือแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลเลาะห์  ซึ่งจะไม่มีสิ่งไร้สาระเกิดขึ้นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง.

            ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ ด้วยความรักและยกย่องเป็นที่สุด ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพวกเขาได้รับการกล่าวขานอย่างโดดเด่น และปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่อบอวลด้วยกลิ่นหอม.

            เรามีความภูมิใจนำเสนอแบบฉบับเหล่านั้น เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นนบีของอัลเลาะห์และเป็นศาสนทูตของพระองค์ที่อัลเลาะห์ได้กล่าวถึงพวกเขาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า
            “พวกเขาเป็นพวกที่อัลเลาะห์ได้ชี้ทางนำที่ถูกต้องให้แล้ว ดังนั้นเจ้าจงปฏิบัติตามทางนำที่พวกเขาได้รับเถิด”  (อัลอันอาม:9)

            นบีทั้งหลายนั้นอัลเลาะห์ได้กล่าวนามชื่อของพวกเขาไว้อย่างชัดเจนในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานถึงยี่สิบห้าท่านทั้งที่ดำรงตำแหน่งนบีและร่อซู้ล อัลเลาะห์ได้กล่าวนามชื่อพวกเขาในซูเราะห์ อัลอันอามถึงสิบแปดชื่อดังพระองค์ได้ตรัสว่า:

            “เหล่านั้นคือหลักฐานของเรา ที่เราได้ประทานมันให้แก่ อิบรอฮีม เพื่อยืนยันแก่พวกพ้องของเขา เราจะยกเกียรติแก่ผู้ที่เราประสงค์หลายขั้น แท้จริงองค์อภิบาลของท่านปรีชาญาณ ทรงรอบรู้  (83) และเราได้ประทานให้แก่อิบรอฮีมคือ อิสหาก และ ยะอ์กู๊บ ทั้งหมดนั้นเรานั้นได้ชี้นำสู่หนทางที่ถูกต้อง ส่วน นัวฮ์ นั้นเราได้ขึ้นนำเขามาก่อนแล้วและจากลูกหลานของเขาคือ ดาวูด     สุไลมาน  อัยยูบ   ยูซุฟ   มูซา   ฮารูน  และดังเช่นนั้นเราจะตอบแทนผู้ที่กระทำความดี (84) และ ซะการียา    ยะห์ยา   อีซา   อิลยาส   ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผู้มีคุณธรรม (85) และ อิสมาอีล อัลยะสะอ์   ยูนุส   และ ลูต  ทั้งหมดนั้นเราได้ให้พวกเขาเหนือกว่าชาวโลก ” (อัลอันอาม:83-86)
           
ต่อมามีนักกวีมุสลิมชาวอาหรับคนหนึ่งได้แนะนำให้พวกเรารู้จักนบีทั้งยี่สิบห้าท่านไว้ในคำประพันธ์ของเขาที่ว่า :
ในอายะห์ที่ว่า เหล่านั้นคือหลักฐานของเรา..” มีรายชื่อนบี สิบแปดท่านที่ยังเหลืออีกเจ็ดคือ : อิดรีส  ฮูด  ชุอัยบ์  ต่อมาก็  ซอและห์  ซุ้ลกิฟลี่  อาดัม  และพวกเขาถูกปิดท้ายด้วยผู้ที่ถูกเลือกสรร (คือ มูฮำหมัด) .

อาจมีนบีท่านอื่นอีกที่พวกเราไม่รุ้ แต่อัลเละห์รู้  ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
ขอสาบานว่าแท้จริงได้ส่งศาสนทูตหลายท่านมาก่อนหน้าเจ้าโอ้มูฮำหมัด พวกเขาบางคนนั้น เราได้เล่าให้เจ้าได้รับทราบ  และมีบางคนที่เราได้ไม่ได้เล่าให้เจ้ารับทราบ ” (ฆอฟิร: 78)

และต่อไปนี้เราจะได้นำเอาชีวประวัติของบรรดานบีเหล่านั้นมาวางลงเบื้องหน้าของท่านผู้อ่าน โดยเริ่มจากประวัติของท่านนบีอาดัม (..) เป็นท่านแรกในฐานะเป็นบิดาของมนุษยชาติ และเป็นสิ่งแรกที่อัลเลาะห์ตาลาอาได้ทรงสร้างขึ้นก่อนสิ่งใด ๆ  ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ  เพราะการตักเตือนเป็นประโยชน์แก่ผู้ศรัทธา



ผู้เรียบเรียง
มันซูร อัรริฟาอีย์         ดร. อิสมาอีล อับดุลฟัตตาฮ์         ริซก์  อัซซัยยิด  ฮีบะห์

แปลและเรียบเรียงโดย  อรุณ  บุญชม







ประวัติกำเนิดจักรวาล

ประวัติกำเนิดจักรวาล เป็นประวัติหนึ่งที่จะทำให้พวกเราได้ประจักษ์ในเดชานุภาพของอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร พระองค์ผู้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ผู้ที่เมื่อประสงค์สิ่งใด พระองค์เพียงแต่กล่าวว่า จงเกิดขึ้น”  สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้น

อาจมีผู้ทักท้วงว่าประวัติการกำเนิดจักรวาล เป็นเรื่องเร้นลับที่ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากอัลเลาะห์ ตาอาลาเท่านั้น และมนุษย์ไม่อาจบรรยายลักษณะของกำเนิดจักรวาลได้อย่างแท้จริง โดยหลักฐานที่อัลเลาะห์ตรัสว่า: (เราไม่ได้ให้พวกเขาเห็นการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินและไม่ได้ให้พวกเขาเห็นการสร้างตัวของพวกเขาเอง” (อัลกะห์ฟิ:51)

จักรวาลที่เราอยู่อาศัยนี้มาประกอบด้วย โลก อากาศ ฟ้า ดวงดาว ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ก่อนหน้าที่จะมีจักรวาลนั้น มีแต่เพียงอัลเลาะห์เท่านั้น ถูกแล้ว ! ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากพระองค์เท่านั้น คืออัลเลาะห์ผู้ทรงเป็นเอก พระองค์ทรงอยู่โดยลำพังผู้เดียว ผู้ทรงเป็นที่พึ่งพิงของสรรพสิ่งทั้งปวง.

เมื่ออัลเลาะห์ประสงค์จะสร้างจักรวาล พระองค์ได้บันดาลให้มีน้ำเกิดขึ้น พระองค์บัญชาให้มีหมอกควันออกมา หมอกควันได้ออกมาจากน้ำ หมอกควันลอยสูงขึ้นสู่เบื้องบนกลายเป็นชั้นฟ้า ต่อมาพระองค์ได้บัญชาให้เกิดแท่งหินจากน้ำและพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นโลกตามบัญชาของพระองค์

โดยวิธีการดังกล่าว อัลเลาะห์ได้สร้างเจ็ดชั้นฟ้า แผ่นดินและจักรวาลทั้งหมดในเวลาหกวัน หมายถึงหกขั้นตอนซึ่งอัลเลาะห์ทรงทราบกำหนดเวลาของแต่ละขั้นตอนเพียงผู้เดียว พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างวิจิตรบรรจง พระองค์สร้างชั้นฟ้าโดยไม่มีเสารองรับ เพราะเดชานุภาพของพระองค์ไร้ขอบเขต พระองค์เท่านั้นเป็นผู้สร้างที่ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง

ภายหลังจากสร้างฟ้าและแผ่นดินเสร็จสมบูรณ์แล้ว พระองค์ได้ตรัสแก่มันทั้งสองว่า: เราคืออัลเลาะห์ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงอำนาจ ผู้สูงส่ง เป็นผู้ครอบครองบัลลังก์อะรัช  เจ้าทั้งสองจะยอมอยู่ใต้คำบัญชาของเราหรือไม่ ? ชั้นฟ้าและเแผ่นดินตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า : เรายอมปฏิบัติตามคำบัญชาของท่านแต่โดยดี
หลังจากนั้นอัลเลาะห์ได้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวประดับประดาในชั้นฟ้า พระองค์บันดาลให้มีมะลาอิกะห์ มาจากรัศมี ตามที่พระองค์ประสงค์ และให้มวลมะลาอิกะห์พำนักอยู่ในชั้นฟ้า

มวลมะลาอิกะห์เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์สร้างขึ้นโดยให้พวกเขามีเอกลักษณ์ ไม่กิน ไม่ดื่มและไม่หลับนอน  พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับการรำลึกถึงอัลเลาะห์ สำนึกในกรุณาธิคุณของพระองค์ ภักดีต่อพระองค์ และสนองคำบัญชาของพระองค์ โดยไม่ฝ่าฝืนหรือขัดคำสั่งแม้แต่น้อย พวกเขาจะไม่ละเมิดคำบัญชาของอัลเลาะห์ และพวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์”  (อัตตะฮ์รีม:6)

มะลาอิกะห์บางส่วนทำหน้าที่นำพากระแสลมไปยังที่ ๆ อัลเลาะห์ประสงค์ บางส่วนทำให้ภูเขาเคลื่อนที่เพื่อให้เป็นไปตามบัญชาของอัลเลาะห์ บางส่วนนำสารจากอัลเลาะห์มายังนบี เพื่อชี้นำมนุษยชาติสู่หนทางที่ถูกต้อง บางส่วนทำหน้าที่เก็บวิญญาณของมนุษย์ตามบัญชาของอัลเลาะห์ โดยอัลเลาะห์ได้กำหนดให้มะลาอิกะห์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติเฉพาะตนในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มะลาอิกะห์ทั้งมวลใช้เวลาหมดไปกับการสดุดีและสรรเสริญอัลเลาะห์ ทั้งกลางวันและกลางคืน มวลมะลาอิกะห์จะกล่าวสดุดี อัลเลาะห์ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่ขาดตอน” (อัลอันยิบาอ์:2)


ความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะห์ในการสร้างอาดัม

โลกใบนี้ในท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เปรียบได้เหมือนเรือลำน้อยที่ลอยล่องอยู่ในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง  อัลเลาะห์ผู้ทรงหยั่งรู้ประสงค์ที่จะสร้างผู้มาพัฒนาโลกใบนี้  อาดัม (.) จึงเป็นมนุษย์คนแรกที่อัลเลาะห์ทรงสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่นี้  ในที่ชุมนุมของมวลมะลาอิกะห์ซึ่งเป็นสิ่งประเสริฐที่อัลเลาะห์ได้สร้างขึ้นเพราะพวกเขาทำอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์ด้วยใจบริสุทธิ์  กล่าวคำสดุดีและสรรเสริญพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเวลา อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสแก่พวกเขาว่า : เราจะสร้างคอลีฟะห์ (ผู้แทนของพระองค์) ในโลกนี้ “ (อัลบะกอเราะห์ : 30) หมายความว่าเราคืออัลเลาะห์ผู้สร้างจักวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ และด้วยประสงค์ของเรา เราจะสร้างมนุษย์ให้มาอยู่อาศัย และพัฒนาโลกใบนี้ตามที่เราประสงค์.

มวลมะลาอิกะห์ให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว  จึงพากันถามขึ้น : “ มวลมะลาอิกะห์กล่าวว่าท่านจะแต่งตั้งผู้ที่จะก่อความพินาศและทำให้เลือดนองหน้าแผ่นดินไปปกครองในแผ่นดินอย่างนั้นหรือ ทั้งที่พวกเรากล่าวสดุดีความบริสุทธิ์ของท่าน อีกทั้งยังยกย่องเกียรติของท่าน พร้อมด้วยกล่าวสรรเสริญท่าน “ (อัลบะกอเราะห์ : 30)

แต่อัลเลาะห์ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงหยั่งรู้ได้กล่าวตอบมวลมะลาอิกะห์ว่า : “ แท้จริงเรารู้ในสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายไม่รู้ “ (อัลบะกอเราะห์ : 30)
ถูกต้องแล้ว ! อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงรอบรู้  สรรพสิ่งทั้งหลายไม่รู้นอกจากสิ่งที่พระองค์สั่งสอนพวกเขาเท่านั้น.

อัลเลาะห์ประสงค์ยกย่องและให้เกียรติมนุษย์ ให้เป็นที่ปรากฎในเรือนร่างของบิดาแห่งมวลมนุษยชาติคืออาดัม (.) พระองค์จึงบัญชาแก่มวลมะลาอิกะห์ว่า : “ เมื่อเราได้สร้างรูปของอาดัมขึ้น และได้เป่าวิญญาณจากวิญญาณที่เราเป็นเจ้าของเข้าไปในร่างของเขาแล้ว พวกท่านจงลงกราบเขา “ (อัลฮิจร์: 29) บัญชาของอัลเลาะห์ที่มีไปยังมวลมะลาอิกะห์ให้พวกเขาลงกราบอาดัมนี้  เพื่อให้เกียรติแก่เขาคล้ายกับเป็นงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ที่ถูกจัดขึ้น ณ เบื้องบนเนื่องในโอกาสที่สร้างอาดัมขึ้นมาเสร็จสมบูรณ์อย่างประณีตบรรจงทั้งรูปร่าง ภาพลักษณ์ และความงดงาม ดังอัลเลาะห์ได้พรรณนาลักษณะของมนุษย์ไว้ว่า :  “ความจริงเราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้อยู่ในเรือนร่างที่งดงาม “ (อัตตีน :3)

องค์อภิบาลได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยไม่มีต้นแบบมาก่อน  จากนั้นพระองค์ได้เป่าวิญญาณเข้าไปในร่าง  การเป่าวิญญาณที่ได้รับเกียรติจากอัลเลาะห์นี่เองที่ทำให้ชีวิตเริ่มคืบคลานเข้าสู่ร่างของอาดัม หลังจากที่เคยเป็นเพียงรูปปั้นดิน ที่ขึ้นรูปมาจากดินเหนียวที่หมักทิ้งไว้จนมีกลิ่น  ร่างมนุษย์ที่ประกอบด้วยเนื้อหนังมังสา  กระดูก  เลือด และเส้นเอ็นต่างๆ  จึงเริ่มขยับและเคลื่อนไหว ทั้งนี้ด้วยพลังและเดชานุภาพของผู้ทรงสร้างสรรค์ และทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง.

มวลมะลาอิกะห์ได้ลงกราบอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งหมด “   (อัลฮิจร์ : 30)  เป็นการแสดงความคารวะแก่มนุษย์ที่อัลเลาะห์ได้สร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงและสลับซับซ้อน  และได้เป่าวิญญาณที่พระองค์เป็นเจ้าของเข้าไปในร่างของเขา และพระองค์ได้สถาปนาให้เขาเป็นผู้แทนของพระองค์บนพื้นพิภพแห่งนี้.   มหาบริสุทธิ์แด่ผู้ทรงสร้าง  ผู้ทรงยิ่งใหญ่.




อัลเลาะห์ประทานความรู้ให้แก่มนุษย์

อัลเลาะห์ (.) ประสงค์ที่จะอธิบายให้มวลมะลาอิกะห์ได้ทราบด้วยหลักฐานที่เป็นวิชาการอย่างชัดเจนว่าเหตุใดพระองค์จึงใช้พวกเขาให้โค้งคำนับต่ออาดัม เป็นการโค้งคำนับเพื่อแสดงความคารวะ ยกย่องและให้เกียรติ, ดังนั้นอัลเลาะห์จึงได้สอนอาดัมให้รู้จักชื่อของสรรพสิ่งต่างๆ เช่นต้นไม้ กลางคืน กลางวัน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ชื่อของสัตว์  และชื่อของทุกสิ่งที่อยู่รอบกายของเขา  ความรู้ที่ว่านั้นคือสิ่งที่อัลเลาะห์ (.) ได้กล่าวไว้ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า :

และอัลเลาะห์ได้สอนอาดัม ให้รู้จักชื่อของสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งหมด หลังจากนั้นพระองค์ได้นำสิ่งของเหล่านั้นไปเสนอต่อมวลมะลาอิกะห์ แล้วกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงบอกฉันถึงชื่อสิ่งของเหล่านี้ ถ้าหากพวกเจ้าพูดความจริง  พวกเขากล่าวว่า  ข้าแด่อัลเลาะห์ ผู้ทรงสะอาดบริสุทธิ์  พวกเราไม่มีความรู้อะไร นอกจากที่พระองค์ได้สอนพวกเราไว้เท่านั้น  พระองค์ท่านทรงรอบรู้ยิ่งทรงหยั่งรู้ยิ่ง  อัลเลาะห์จึงกล่าวแก่อาดัมว่า เจ้าจงบอกพวกเขาถึงชื่อของสิ่งเหล่านี้  เมื่ออาดัมได้บอกพวกเขาถึงชื่อสิ่งของเหล่านั้นแล้ว  อัลเลาะห์ได้ตรัสว่าเราไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือว่าเรารู้สิ่งเร้นลับในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และเรารู้สิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยและปิดบัง “  (อัลบะกอเราะห์ : 31-33)

            และนี่คือความมหัศจรรย์ในการสร้างอาดัม  ให้อาดัมมีสติปัญญา ประทานความรู้ให้แก่อาดัมซึ่งต่อไปลูกหลานของเขาก็จะรับมรดกสืบทอดความรู้นี้ไปเพื่อพัฒนาโลกนี้และสร้างพื้นฐานของชีวิตในโลก.
            ความมหัศจรรย์งานสร้างของอัลเลาะห์ของอัลเลาะห์ก็คือให้อาดัมพูดได้ และสามารถเรียกขานชื่อของสิ่งต่างๆได้ ตามที่อัลเลาะห์ ตาอาลาสอนให้เขา.
            อายะห์อัลกุรอานที่กล่าวมาได้อธิบายให้พวกเราได้ทราบว่าอัลเลาะห์ ตาอาลาได้สนทนากับมวลมะลาอิกะห์ของพระองค์ โดยบอกพวกเขาให้รู้ว่าพระองค์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้, และนี่คืออาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์, ที่ต่อไปลูกหลานของเขาก็จะรู้จักชื่อของสรรพสิ่งต่างๆ ได้เช่นเดียวกับเขา  และจะเรียนรู้การพัฒนาชีวิตในโลก, และจะก้าวไกลไปพร้อมกับวิชาการและสติปัญญาที่อัลเลาะห์ได้มอบไว้ให้แก่พวกเขา.
            ทำไมอัลเลาะห์จึงสร้างอาดัมให้มีรูปร่างที่สวยงาม  และทำไมอัลเลาะห์จึงมอบความรู้ให้แก่เขา ?
            ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะอัลเลาะห์ (.) เป็นผู้ทรงรอบรู้ และความรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสิ่ง พระองค์รู้สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป, ดังนั้นพระองค์จึงมีความประสงค์ที่
เปิดเผยความรู้ของพระองค์, พระองค์ได้มอบความรู้อันน้อยนิดให้แก่อาดัมจากความรู้อันกว้างขวางหาขอบเขตไม่ได้ของพระองค์  และพระองค์ได้มอบความรู้นั้นให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานของอาดัม  เพื่อพวกเขาจะได้รู้จักอัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ด้วยความรู้ และความมั่นใจ พวกเขาจะรู้จักอัลเลาะห์ด้วยสติปัญญา  ด้วยความคิด  พวกเขาจะกล่าวคำสดุดี     แซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ ก้มกราบสุหยูดต่อพระองค์  และขอบคุณพระองค์ที่ได้ประทานความโปรดปรานอย่างมากมายมหาศาลให้แก่พวกเขา

และถ้าหากพวกเจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลเลาะห์ พวกเจ้าจะไม่สามารถนับได้ครบถ้วนหรอก “   (อิบรอฮีม : 34 –อันนะห์ลิ :18)

            อัลเลาะห์เป็นผู้สร้างจักรวาลนี้ พระองค์ทรงกำกับดูแล และควบคุมจักรวาล พระองค์มีวาจาสิทธิ์  ประสงค์สิ่งใด เป็นไปตามนั้น  มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้จะได้รับผลตอบแทนจากอัลเลาะห์ ตามการกระทำของพวกเขา ถ้าหากพวกเขาสำนึกในบุญคุณของพระองค์ อัลเลาะห์จะเพิ่มพูนความดีให้แก่พวกเขา, เพราะคลังของอัลเลาะห์จะไม่มีวันหมด  อำนาจของพระองค์แผ่ไพศาล, และถ้าหากพวกเขาไม่สำนึกในบุญคุณของพระองค์ พวกเขาจะได้รับการลงโทษ และถูกขับออกไปให้ไกลห่างจากความเมตตาของพระองค์ผู้เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา.

การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว

            อัลเลาะห์ได้บัญชาให้มะลาอิกะห์โค้งคำนับต่ออาดัม มวลมะลาอิกะห์ทั้งปวงได้โค้งคำนับ, นอกจากอิบลีส ที่ฝ่าฝืน ไม่ยอมโค้งคำนับ “ (อัลฮิจร์ : 30 -31)  นี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้, อิบลีส ที่ถูกสาปแฃ่ง, ชัยตอนที่ถูกขว้างปา ได้ขัดคำสั่งขององค์อภิบาล ได้แสดงความโอหัง และหยิ่งยโส ไม่ยอมโค้งคำนับต่ออาดัม เฉกเช่นเดียวกับที่มวลมะลาอิกะห์ทั้งหลายได้โค้งคำนับ เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลเลาะห์ ครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น, เป็นการฝ่าฝืนครั้งแรกที่เกิดขึ้นในจักรวาล, เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายต่างก็กล่าวคำสดุดีและสรรเสริญอัลเลาะห์ทั้งสิ้น, ทุกสิ่งรู้ดีว่าผู้สร้างพวกตนขึ้นมาคือพระองค์อัลเลาะห์  ต่างก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ด้วยการกล่าวคำสดุดีและยกย่องในความบริสุทธิ์ของพระองค์

ไม่มีสิ่งใดนอกจากมันจะกล่าวคำสดุดีพร้อมด้วยสรรเสริญอัลเลาะห์ แต่พวกท่านไม่เข้าใจคำสดุดีของพวกเขา “ (อัลอิสรออ์ : 44)
 “ ผู้ที่อาศัยอยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินต่างพากันยอมสยบต่ออัลเลาะห์  ทั้งโดยสมัครใจและโดยจำใจ “  (อัรเราะอ์ดุ :  15)

            มีแต่เพียงอิบลีสเท่านั้นที่โอหังและทระนงไม่ยอมภักดีต่ออัลเลาะห์ ดังนั้นอัลเลาะห์จึงถามมันว่า :

            “  โอ้ อิบลีส ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมอยู่ในพวกที่โค้งคำนับต่ออาดัม “  (อัลฮิจร์ :  32)   ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมโค้งคำนับต่ออาดัม ? ทั้งที่เราได้บัญชาให้เจ้าโค้งคำนับ เจ้าอยู่ในอำนาจของเรา และอยู่ภายใต้ประสงค์ของเรา  เราเป็นผู้สร้างเจ้า และกิจการของเจ้าด้วยมือของเราเอง. อิบลีส กล่าวตอบว่า :

            “ ฉันจะไม่ยอมโค้งคำนับมนุษย์ ที่พระองค์ท่านสร้างเขาขึ้นมาจากดินที่ปล่อยไว้จนแข็ง จากดินเหนียวที่หมักไว้จนมีกลิ่น “    (อัลฮิจร์ : 33)

            นี่คือความยโสโอหัง  ยกตนข่มท่าน และอิจฉาริษยา อิบลีสจึงกล่าวตอบว่า : ฉันดีกว่า    อาดัม  เพราะพระองค์ท่านได้สร้างฉันขึ้นมาจากไฟ  และสร้างเขาขึ้นมาจากดิน , ในความเชื่อของอิบลีสก็คือ ไฟดีเลิศกว่าดิน.
            แต่ใครคือผู้กำหนดความเป็นเลิศ ?
            ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้กำหนดความเป็นเลิศ ก็คือพระองค์อัลเลาะห์ ผู้ทรงสร้าง .
            แล้วใครเป็นผู้สร้างอิบลีส ?
            แน่นอนอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเป็นผู้สร้าง ..  พระองค์ได้สร้างอิบลีสขึ้นมาจากไฟที่ร้อนแรงความเป็นเลิศนั้นได้แก่มะลาอิกะห์ที่พระองค์สร้างพวกเขาขึ้นมาจากแสง (นูร) แต่มะลาอิกะห์ก็ไม่ได้แสดงความยโสโอหัง พวกเขายอมปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลเลาะห์ แต่โดยดี พวกเขาได้โค้งคำนับต่ออาดัม  ตามประสงค์ของอัลเลาะห์เพื่อให้เกียรติกับสิ่งที่อัลเลาะห์ได้สร้างขึ้นมาจากดิน.
            แต่อิบลีส ที่อัลเลาะห์สร้างมันขึ้นมาจากไฟ  กลับดื้อดึง และแสดงความยโสโอหัง เพราะความผูกพยาบาท ความอิจฉาริษยา และต้องการทำให้จักรวาลนี้แปดเปื้อนด้วยความชั่วร้าย ทั้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย.
            ด้วยเหตุนี้เมื่อเราพบคนที่แสดงความยโสโอหัง หรือความผูกพยาบาท และความอิจฉาริษยา หรือพยายามทำความชั่ว  เราจะเรียกเขาว่าเป็นชัยตอน  เพราะเขาได้เปลี่ยนสภาพตนเองไป
เป็นสมาชิกคนหนึ่งของพลพรรคอิบลีสไปแล้วเขาต้องการให้ความสุขมลายไปจากผู้อื่น  นั่นคือแรงกระตุ้นของความชั่วร้าย ที่จะทำร้ายจิตใจ  ทำลายความสัมพันธ์ที่ดี  และคุกคามบุคลิกภาพที่งดงามของมนุษย์.

อิบลีสเป็นมะลาอิกะห์ใช่ไหม ?

นี่เป็นคำถามที่สำคัญ ที่ท้าทายให้คนเป็นจำนวนมากหาคำตอบว่า อิบลีสเป็นมะลาอิกะห์ใช่ไหม ? เพราะอิบลีสอยู่กับมวลมะลาอิกะห์ ในวันที่อัลเลาะห์สร้าง อาดัม (.).
เราสามารถที่จะกล่าวได้ว่าสรรพสิ่งต่างๆ ที่อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างขึ้นภายหลังจากสร้างฟ้าและแผ่นดินแล้วมี สามอย่าง :
หนึ่ง : มะลาอิกะห์ ที่อัลเลาะห์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาจากแสง (นูรและให้ฟากฟ้าเป็นถิ่นพำนักของพวกเขา พวกเขาไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่ฝ่าฝืนคำบัญชาของอัลเลาะห์  พวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์อย่างเคร่งครัด.
สอง : ชัยตอน   , อิบลีส ที่ถูกสาปแช่ง อัลเลาะห์สร้างมันขึ้นมาจากไฟ และให้โลกนี้เป็นสถานที่พำนักของพวกมัน  มันจะพำนักอยู่ในที่รกร้าง  และสถานที่สกปรก เช่นตามห้องน้ำที่เมื่อพวกเราเข้าไปก็จะต้องขอความปกป้องคุ้มครองจากอัลเลาะห์ให้พ้นจากชัยตอน ทั้งเพศผู้และเพศเมีย  พวกมันจะกิน จะดื่ม และมีการสืบพันธุ์.
สาม มนุษย์  ที่อัลเลาะห์ ทรงสร้างขึ้นมาจากดิน  และพระองค์ได้ให้เกียรติมนุษย์ โดยเป่าวิญญาณจากพระองค์เข้าไปในร่าง และได้ให้ความเป็นเลิศแก่มนุษย์ยิ่งกว่าสรรพสิ่งอื่นๆ ที่พระองค์ได้สร้างขึ้นอีกมากมาย และพระองค์ได้ใช้ให้มวลมะลาอิกะห์โค้งคำนับ  และพระองค์ได้ให้โลกนี้เป็นที่พำนักของมนุษย์ โดยมนุษย์จะกิน จะดื่ม และแต่งงานกันเพื่อสืบสายพันธุ์ให้คงอยู่ เพื่อพัฒนาจักรวาล และยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น.
อัลเลาะห์ได้สร้างมะลาอิกะห์ขึ้นก่อนแล้วต่อมาก็ ชัยตอน, ชัยตอนได้มาอยู่ปะปนกับ  มะลาอิกะห์  ใช้ชีวิตคล้ายกับเป็นมะลาอิกะห์  และเลียนแบบมะลาอิกะห์ในการทำอิบาดะห์ กระทำเหมือนที่มะลาอิกะห์กระทำ,ชัยตอนไม่ได้พอใจในความดีและอิบาดะห์ที่มะลาอิกะห์กระทำ, แต่สมองและจิตใจของมันเต็มไปด้วยความอาฆาตมะลาอิกะห์ แต่มันไม่สามารถจะเปิดเผยได้ โดยที่ตนเองอาศัยรวมอยู่กับพวกเขา เพราะชัยตอนได้อาศัยอยู่กับมะลาอิกะห์เป็นเวลาที่ยาวนาน โดยไม่มีผู้ใดรู้นอกจากอัลเลาะห์ (.) เท่านั้น ดังนั้นมันจึงอยู่กับมวลมะลาอิกะห์ด้วยขณะที่อัลเลาะห์โต้ตอบกับมะลาอิกะห์ และมีบัญชาแก่พวกเขาให้โค้งคำนับต่ออาดัม ดังอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า :
 “ และเมื่อเราได้กล่าวแก่มะลาอิกะห์ว่าพวกเจ้าจงโค้งคำนับต่ออาดัม  พวกเขาได้โค้งคำนับยกเว้นอิบลีส ที่มันเป็นพวกญิน มันได้ละเมิดคำสั่งองค์อภิบาลของมัน “ (อัลกะห์ฟิ : 50)

เพราะจิตใจของมันถูกกำเนิดอยู่บนความชั่วร้าย ความชิงชัง ความอาฆาต และความอิจฉาริษยา และเพราะมันเชื่อว่าไฟ ดีเลิศกว่าดินอัลเลาะห์ได้ตรัสไว้ว่า :
อัลเลาะห์ตรัสถามว่าอะไรห้ามเจ้าไม่ให้โค้งคำนับขณะเมื่อเราบัญชาเจ้า มันกล่าวว่าฉันดีกว่าเขาเพราะพระองค์ท่านสร้างฉันจากไฟ และพระองค์ท่านสร้างเขาจากดิน “ (อัลอะอ์รอฟ : 12)
ดังนั้นมุสลิมจะต้องหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากความประพฤติอันเลวทรามเหล่านี้อันได้แก่ ความยโสโอหัง  ความอาฆาต และความอิจฉาริษยา เพื่อเขาจะไม่ตกไปเป็นบริวารของอิบลีส.

อิบลีสถูกขับออกจากสวรรค์

สวรรค์เป็นสถานที่งดงาม เพราะเป็นสถานที่ ที่มนุษย์จะได้รับแต่ความสุข ความสะดวก สบาย ความปีติยินดี อัลเลาะห์ได้สร้างสวรรค์ให้เป็นสถานบรมสุขอันเป็นนิรันดร  ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน นอกจากอัลเลาะห์ (.) เท่านั้น  ในสวรรค์มีผลไม้รสชาติดีมากมาย  มีเนื้อสัตว์ที่    เอร็ดอร่อย  มีเนื้อนกที่น่ารับประทาน  มีน้ำผึ้งบริสุทธิ์  มีน้ำนมที่ไม่เปลี่ยนแปลงรสชาติของมัน และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการทั้งอาหารเครื่องดื่มเสื้อผ้าแพรพรรณ และที่อยู่อาศัย  และสาวสวรรค์ที่งดงาม.
อิบลีสอยู่กับมะลาอิกะห์ในสวรรค์นี้  ต่อมาเมื่อมันละเมิดคำบัญชาของอัลเลาะห์ และดื้อดึงต่อองค์อภิบาล  อัลเลาะห์จึงขับไล่มันออกจากสวรรค์  อิบลีสยิ่งเพิ่มความดื้อดึงมากขึ้น มันกล่าวกับองค์ผู้อภิบาลว่า :
ตราบใดที่พระองค์ให้เกียรติยกย่องอาดัม มากกว่าฉัน ท่านได้ให้เขาพำนักอยู่ในสวรรค์  ของท่าน  และท่านได้ขับไล่ฉันออกจากสวรรค์เพราะอาดัมเป็นต้นเหตุ  ต่อไปฉันจะต้องขัดขวางเขาทุกวิถีทางที่เป็นความดี  และลวงล่อเขาให้ออกไปจากเส้นทางของความดี  และจะทำให้เขาเห็นว่าความสนุกสนาน และการละเล่นเพลิดเพลินต่างๆ เป็นความดี  ฉันจะปลูกฝังความชั่ว ความผูกพยาบาท ความอิจฉาริษยา ความยโสโอหังให้เกิดในระหว่างจิตใจบุตรหลานของเขา, เพื่อในที่สุดพวกเขาก็จะต้องได้รับการสาปแช่งเช่นเดียวกับที่ฉันได้รับ.
อัลเลาะห์ ตาอาลาตรัสว่า :


 “ โอ้อิบลีส  เจ้าจงออกไปจากสวรรค์ เพราะเจ้าเป็นผู้ที่ถูกขับไล่ไสส่งให้พ้นไปจากความดีทั้งปวง และเจ้าจะถูกสาปแช่งจนถึงวันตัดสิน “   (อัลฮิจร์ : 34-35)  และคนที่อยู่พร้อมกับเจ้าในเส้นทางที่หลงผิด เส้นทางของความชั่วและปฏิเสธอัลเลาะห์ ก็จะถูกสาปแช่งด้วยเช่นเดียวกัน เขาจะได้รับความตกต่ำในโลกนี้ และได้รับความขาดทุนในอาคิเราะห์  สิ่งที่พวกเจ้าจะได้รับตอบแทนคือนรก ญะฮันนัม ที่เชื้อเพลิงของมันก็คือมนุษย์ และก้อนหินส่วนสวรรค์นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตัวเจ้า และพวกที่ปฏิบัติตามเจ้า.
อิบลีสกล่าวว่า : ตราบที่พระองค์ท่านขับไล่ฉันออกจากสวรรค์ และห้ามฉันไม่ให้ได้รับความเมตตาของพระองค์ท่าน  ขอพระองค์ท่านได้โปรดมอบสิ่งหนึ่งให้แก่ฉัน และลูกหลานของฉัน โดยพระองค์ท่านจะต้องไม่มอบมันให้แก่ผู้ใดอีกเลย.
อัลเลาะห์ ตรัสถามว่า เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือ โอ้อิบลีส ผู้น่าชิงชัง  ?

อิบลีสตอบว่า ได้โปรดยืดอายุ และกำหนดความตายของฉันออกไปจนถึงวันกิยามะห์

“…  อิบลีสกล่าวว่าข้าแด่องค์อภิบาลของฉัน ได้โปรดร่นกำหนดความตายของฉันออกไปจนถึงวัน กิยามะห์ “  (อัลฮิจร์ : 36)  
อัลเลาะห์ ตอบว่า :“ ดังนั้นเจ้าจะได้รับการร่นกำหนดความตายออกไปจนถึงวันกิยามะห์ “        (อัลฮิจร์ : 37-38)

            อัลลาะห์ได้ตอบรับคำขอของอิบลีส และให้สัญญากับมันว่าจะให้มันมีชีวิตอยู่จนถึงวัน    กิยามะห์  และอัลเลาะห์ (.) ได้เตือนพวกเราให้ระมัดระวังอิบลีส เพื่อพวกเราจะได้ไม่ติดกับดักของมัน พระองค์ได้เตือนว่า :
           
แท้จริงชัยตอนเป็นศัตรูของพวกท่าน  ดังนั้นพวกท่านจงถือว่ามันเป็นศัตรูเถิด  อย่าเชื่อฟังและปฏิบัติตามมัน ความจริงมันจะเรียกร้องเชิญชวนบริวารของมันไปสู่ความหลงผิดเพื่อพวกเขาจะได้เป็นชาวนรก “   (ฟาติร : 6)


อาดัมและเฮาวาอ์ .. ในสวรรค์

อัลเลาะห์ได้ให้อาดัมพำนักอยู่ในสวรรค์  และพระองค์ประสงค์จะผ่อนคลายอาดัมจากความเปล่าเปลี่ยว  เดียวดาย    และประสงค์ให้อาดัมอยู่ในสวรรค์ของพระองค์อย่างอบอุ่นใจ พระองค์จึงได้ถอดซี่โครงซี่หนึ่งของอาดัมออกไป  และได้สร้างเฮาวาอ์ขึ้นจากกระดูกซี่โครงนั้น     ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นขณะที่อาดัมนอนหลับ  เมื่อตื่นขึ้นเขาพบเฮาวาอ์ อยู่ข้างกายของเขา  องค์อภิบาลบอกเขาว่าผู้นี้คือคู่ชีวิตของเขา ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดอายุขัยของเขา.
อาดัมทรุดกายลงกราบ แสดงความขอบคุณอัลเลาะห์ที่ได้ประทานความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่นี้  เมื่อเราให้ความสนใจกับเรื่องนี้เราก็จะพบว่าอาดัมนั้น อัลเลาะห์สร้างเขาขึ้นมาจากดินเหนียวที่หมักไว้จนมีกลิ่นโดยไม่มีพ่อไม่มีแม่  และเราก็จะพบว่าเฮาวาอ์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของอาดัม  คล้ายกับอาดัมเป็นพ่อของเฮาวาอ์  และเฮาวาอ์ก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีแม่  เพราะอัลเลาะห์ทรงความสามารถทำได้ทุกสิ่ง  พระองค์เพียงผู้เดียวที่เป็นผู้สร้าง พระองค์จึงนำเสนองานสร้างและความสามารถของพระองค์ให้พวกเราได้พิจารณา.
อัลเลาะห์ได้กล่าวแก่อาดัมและเฮาวาอ์ว่า : เจ้าทั้งสองคนจงพำนักอยู่ในสวรรค์ของเราเถิดและจงรับประทานได้ตามสบาย ตามที่เจ้าทั้งสองคนต้องการ  ยกเว้นต้นไม้เพียงต้นเดียวที่         อัลเลาะห์ได้กำหนดไว้  พระองค์ตรัสแก่คนทั้งสองว่า : “ และเจ้าทั้งสองอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้เป็นอันขาด จะเป็นเหตุให้เจ้าทั้งสองคนเป็นผู้ละเมิด “ (อัลบะกอเราะห์ : 35)      
ความจริงอัลเลาะห์จะทรงทดสอบศรัทธาของบ่าวของพระองค์อยู่เสมอ  พระองค์จะให้บ่าวของพระองค์ตกอยู่ในสถานการณ์ของการทดสอบ และการพิสูจน์ศรัทธาของพวกเขา โดยพระองค์ทรงทราบดีถึงผลของการทดสอบและพิสูจน์นั้น  แต่พระองค์ต้องการเปิดเผยให้แก่มนุษย์ทุกคนได้ทราบถึงผลลัพธ์จากการกระทำของเขา และวาระสุดท้ายของเขา ดังนั้นพระองค์จึงได้ตรัสว่า :  “ ความจริงเราได้กำชับอาดัมไว้ก่อนแล้ว ไม่ให้รับประทานผลจากต้นไม้นั้น  แต่ต่อมาเขาก็ลืมคำกำชับของเรา  เราไม่พบว่าเขาได้จดจำคำกำชับนั้นไว้ “  (ตอฮา : 115)  ชัยตอนได้ฉวยโอกาสสร้างความสับสนให้เกิดแก่อาดัมและเฮาวาอ์ ลวงล่อ หว่านล้อม และชักจูงคนทั้งสองให้เข้าใกล้ต้นไม้ต้องห้ามนั้น  และหาคำแก้ตัวให้คนทั้งสองว่าที่อัลเลาะห์ห้ามเขาทั้งสองรับประทานผลจากต้นไม้นั้นก็เพราะเมื่อเขาทั้งสองรับประทานมันเข้าไป  เขาทั้งสองจะกลายเป็นมะลาอิกะห์ หรือพระองค์จะต้องให้เขาทั้งสองมีชีวิตที่เป็นอมตะตลอดไป ชัยตอนได้สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นกับคนทั้งสอง เพื่อทำให้คนทั้งสองละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์ด้วยการรับประทานจากต้นไม้ต้องห้ามนั้น เพื่อในที่สุดคนทั้งสองก็จะเผยส่วนอันพึงสงวนอันเป็นสิ่งน่าละอายของคนทั้งสองที่ถูกปกปิดไว้ ชัยตอนได้กล่าวในการลวงล่อคนทั้งสองของมันว่า  ที่อัลเลาะห์ห้ามเจ้าทั้งสองรับประทานผลจากต้นไม้นี้ก็
เพราะไม่ต้องการให้เจ้าสองกลายเป็นมะลาอิกะห์  หรือเพราะพระองค์ไม่ต้องการให้เจ้าทั้งสองมีชีวิตที่เป็นอมตะตลอดไป “    (อัลอะอ์รอฟ : 20)    ชัยตอน ผู้น่าชิงชัง ได้รับชัยชนะในการลวงล่อและทำให้คนทั้งสองพอใจที่จะละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์  “ … เมื่อคนทั้งสองได้ลิ้มรสผลจากต้นไม้ต้องห้ามนั้นส่วนที่พึงสงวนอันเป็นสิ่งที่น่าอับอายของคนทั้งสองก็เผยออกมาแก่เขาทั้งสอง โดยสิ่งที่อัลเลาะห์ ปกปิดมันไว้ก่อนการละเมิดได้หายไป  คนได้สองได้ใช้ใบไม้ในสวรรค์ปกปิดส่วนที่พึงสงวนของคนทั้งสอง  องค์อภิบาลได้เรียกคนทั้งสองว่า เราไม่ได้ห้ามเจ้าทั้งสองคนหรือว่าห้ามรับประทานผลจากต้นไม้นั้น  เราไม่ได้บอกแก่เจ้าทั้งสองหรือว่าชัยตอน เป็นศัตรูที่ประกาศความเป็นศัตรูของมันอย่างชัดเจนกับเจ้าทั้งสอง ? “ (อัลอะอ์รอฟ : 22)  บนร่างกายของคนทั้งสองเคยมีสิ่งที่อัลเลาะห์ปกปิดไว้แม้ทั้งสองคนจะอยู่ในสภาพเปลือยกายก็ตาม  และทั้งสองคนได้เปิดมันออกด้วยการละเมิดคำสั่งของพระองค์  คนทั้งสองจึงจำต้องแสวงหาสิ่งที่จะนำมาปกปิดร่างกาย โดยการเก็บใบไม้เพื่อนำมาเป็นเครื่องปกปิดส่วนที่พึงสงวนบนเรือนร่างของเขาทั้งสอง.
คล้ายกับอัลเลาะห์ต้องการให้เราเห็นว่าการละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์ ทำให้ส่วนที่พึงสงวนของร่างกายต้องเปิดออก  และการละเมิดคำสั่งนั้นทำให้สิ่งที่ถูกปกปิดไว้ได้รับความอับอาย แน่นอนว่าการละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์ย่อมต้องถูกลงโทษ  แล้วโทษของอาดัม กับ เฮาวาอ์ คืออะไร ?
อัลเลาะห์ ตาอาลา มีบัญชาว่า : “ อาดัม และเฮาวาอ์ เจ้าทั้งสองจงลงไปจากสวรรค์สู่ผืนดินพร้อมด้วยอิบลีส โดยเจ้าทั้งสองและอิบลิสเป็นศัตรูต่อกัน ต่อไปเมื่อมีแนวทางที่ถูกต้องและคำแจกแจงจากเราไปยังพวกเจ้า ดังนั้นผู้ใดที่ยอมปฏิบัติตามแนวทางและคำแจกแจงของเรา เขาจะได้รับแนวทางที่ถูกต้องในโลกนี้ และเขาจะไม่ได้รับสิ่งชั่วร้ายตอบแทนในอาคิเราะห์ ส่วนผู้ที่เบือนหนีจากการรำลึกถึงเรา เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น แม้ภายนอกจะดูมีความสุขสบายก็ตาม และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะห์ในสภาพที่มืดบอด “  (ตอฮา: 123 -124)
อาดัมและเฮาวาอ์ ได้ลงมาสู่ผืนดิน  ทั้งสองรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ เพราะทั้งสองได้จากสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความสุขสบายมา  เขาทั้งสองได้มาสู่ชีวิตที่ต้องต่อสู้  ดิ้นรน และเหน็ดเหนื่อย ณ ผืนดินแห่งนี้ธาตุแท้ของทุกสิ่งที่อัลเลาะห์สร้างจะปรากฏชัดเจน  ชัยตอนทั้งที่มันรู้ว่ามันทำความผิด  แต่มันก็ยังคงดื้อดึง และละเมิดคำสั่งของอัลเลาะห์  ส่วนมนุษย์นั้นแม้บางครั้งจะทำบาป แต่ก็ยังสำนึกผิดและกลับตัวเป็นคนดี นี่เป็นสิ่งที่เกิดกับอาดัม และเฮาวาอ์  ขณะที่เขาทั้งสองได้ยกมือขึ้นวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ และแสดงความเสียใจ  เขาทั้งสองได้กล่าวว่า : “ ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา เราได้ทุจริตต่อตัวเองไปแล้ว ถ้าหากท่านไม่ยอมยกโทษให้เรา และไม่ให้ความเมตตาแก่เรา  แน่นอนว่าเราจะต้องรวมอยู่ในพวกที่ขาดทุน “  ( อัลอะอ์รอฟ : 23)

อัลเลาะห์ รับคำวิงวอนของอาดัม และ เฮาวาอ์ และรับการกลับตัวของคนทั้งสอง เพราะพระองค์เป็นผู้รับการกลับตัวกลับใจของบ่าว อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง  พระองค์ทรงให้อภัยไม่ถือโทษ พระองค์จะยกโทษให้แก่ผู้ที่ทำความผิด แล้วสำนึกตัวกลับใจเป็นคนดี.



เริ่มมีการสืบสายพันธุ์

อัลเลาะห์ บัญชาให้อาดัม แต่งงานกับ เฮาวาอ์  เป็นการแต่งงานที่มีความดีเพิ่มพูนยิ่ง  เฮาวาอ์  ตั้งครรภ์แล้วคลอดบุตรเป็นคู่ๆ คือเพศชายหนึ่งคนและเพศหญิงหนึ่งคน  การตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นไปอย่างต่อเนื่องกัน ทุกครั้งเฮาวาอ์จะให้กำเนิดเป็นบุตรแฝดเพศชายหนึ่งคนและเพศหญิงหนึ่งคน ในเมื่อสังคมมนุษย์ยุคนั้นยังไม่มีใครอื่นนอกจากอาดัม และเฮาวาอ์ กับบุตรที่เกิดจากคนทั้งสอง  อาดัมได้รับการชี้นำจากพระเจ้าให้ทำการแต่งงานบุตรชายจากท้องแรก กับบุตรหญิงจากท้องที่สอง  และบุตรชายจากท้องที่สอง กับบุตรหญิงจากท้องแรก  เพราะถือว่าแต่ละท้องเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา  และอัลเลาะห์มีประสงค์จะให้ ฮาบีล ได้แต่งงานกับ น้องสาวที่เป็นคู่ของกอบีล  ซึ่งเป็นหญิงรูปงาม มีเสน่ห์ชวนมอง  กอบีลต้องการเอาน้องสาวที่เป็นคู่ของตนไว้เสียเองและต้องการแต่งงานด้วย  อาดัมได้กล่าวแก่กอบีล ว่า :
-          จะแต่งงานกันไม่ได้ !  นี่เป็นบัญชาของอัลเลาะห์  เจ้าจะฝ่าฝืนบัญชาของอัลเลาะห์
ไม่ได้
            แต่กอบีล ขัดขืนคำสั่งของอัลเลาะห์ และไม่ยอมเชื่อฟังคำแนะนำของผู้เป็นบิดา  ชัยตอนได้เข้าครอบงำเขาเสียแล้ว มันได้ทำให้กอบีล เห็นว่าความดื้อดึงของตนมีความสำคัญกว่าการรับฟังคำแนะนำจากบิดา  มันทำให้ดวงตาของเขามืดบอด มันทำให้สติปัญญาของเขาทึบ  ดังนั้น    กอบีล จึงยังคงยืนกรานที่จะแต่งงานกับน้องสาวที่เป็นคู่ของตนให้ได้.
            อาดัม ประสงค์จะทำให้บุตรชายทั้งสองของตนพ้นจากจุดอับนี้  จึงได้กล่าวแก่บุตรชายทั้งสองว่า : เจ้าทั้งสองจงกลับคืนสู่ความประสงค์ของอัลเลาะห์ และการเลือกสรรของพระองค์เถิด  เจ้าทั้งสองจงมอบหมายให้อัลเลาะห์เป็นผู้ตัดสินในเรื่องนี้ระหว่างเจ้าทั้งสองเถิด  โดยให้เจ้าแต่ละคนนำกุรบาน (เครื่องพลี) ไปถวายต่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร  ผู้ใดที่อัลเลาะห์รับ   กุรบานของเขา  แสดงว่าพระองค์พอใจเขา  และในขณะเดียวกันก็ถือว่าผู้นั้นได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับน้องสาวของกอบีลผู้เลอโฉม.
            ฮาบีลนั้นประกอบอาชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์  ส่วนกอบีล มีอาชีพเพาะปลูกข้าวสาลี ฮาบีลได้ทำการคัดเลือกสัตว์ตัวที่ดีที่สุดที่ตนมี และถวายเป็นกุรบานเพื่ออัลเลาะห์       ผู้ทรงยิ่งใหญ่และ
เกียงไกร เพื่อทำให้อัลเลาะห์พอพระทัยส่วนกอบีล  ได้นำสิ่งที่เลวที่สุดที่ตนมีจากผลิตผลการเกษตรของตน  และได้ถวายเป็นกุรบานเพื่ออัลเลาะห์  โดยไม่หวั่นไหวว่าจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร .
            ในทีสุดฮาบีล  ก็ได้รับข่าวดี อัลเลาะห์ทรงรับกุรบานของเขา  อาดัมจึงได้กล่าวขึ้นว่า :
            - บัดนี้ อัลเลาะห์ ได้ตัดสินข้อพิพาทแล้ว, พระองค์พอพระทัยให้ฮาบีล ได้แต่งงานกับน้องสาวคู่ของกอบีล และจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของอัลเลาะห์ และต้องพอใจคำตัดสินนั้น.
            อิบลีสได้เคยแสดงความยโสโอหังต่อคำบัญชาของอัลเลาะห์มาแล้ว  มาบัดนี้บุตรชายคนหนึ่งของอาดัม กำลังเจริญรอยตามอิบลีส และเดินตามเส้นทางของมัน  ในใจของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต และอิจฉาริษยา  หูเขาหนวกไม่ได้ยินคำตักเตือนจากผู้เป็นบิดา  เขากล่าวแก่ฮาบีลว่า :
-          ถ้าหากเจ้าแต่งกับน้องสาวคู่ของฉัน  ฉันจะต้องสังหารเจ้าอย่างแน่นอน.
แต่ฮาบีล คนดี มีคุณธรรม กล่าวแต่เพียงว่า : “ ถ้าหากเจ้ายื่นมือของเจ้ามาเพื่อสังหารฉัน 
ฉันจะไม่ยื่นมือของฉันไปสังหารเจ้าหรอก ฉันกลัวอัลเลาะห์ ผู้อภิบาลสากลโลก “ (อัลมาอิดะห์ : 28)
            แต่กอบีลนั้นขณะนี้อารมณ์ใฝ่ต่ำได้เข้าครอบงำเขาเสียแล้ว  เขาได้ลงมือสังหารฮาบีลจนเสียชีวิต และนี่ถือเป็นการฆาตกรรมครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดิน  และเป็นเลือดที่หลั่งชะโลมดินเป็นครั้งแรก. กอบีลไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับศพของฮาบีล  เขาแบกศพขึ้นบ่าและเดินตระเวนไปทั่ว  เขามีความประสงค์ประการเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ศพนั้นไกลจากสายตาของบิดา สายตาของมารดา และสายตาของน้องสาวคู่ของเขาที่ต้องการจะแต่งงานด้วย  เขายังคงแบกศพ  เดินไป และเดินไป โดยไม่รู้แห่งหน และไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับศพนั้น.
            มีอีกาตัวหนึ่งมาสอนกอบีล ถึงวิธีการที่จะปกปิดร่างของพี่น้องของเขา  นี่ถือเป็นความเมตตาของอัลเลาะห์ที่มอบให้แก่บ่าวของพระองค์  เพราะมนุษย์เมื่อเสียชีวิตไป  และวิญญาณได้ขึ้นสู่องค์อภิบาลของเขานั้น ร่างของเขาก็จะแข็งทื่อ  ค่อยเปลี่ยนแปลง ขึ้นอืด  และเน่าเหม็น นับเป็นความกรุณาของอัลเลาะห์ที่มีต่อลูกหลานของอาดัม ที่พระองค์ได้สอนพวกเขาให้รู้จักวิธีการฝังศพคนที่เสียชีวิตไว้ใต้ดิน เพื่อไม่ให้เป็นภาพที่อุจจาดตาแก่ผู้พบเห็น  และเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่โรคระบาด และโรคร้ายแรงต่างๆ ที่สามารถแพร่กระจายสู่มนุษย์ได้จากซากศพที่ไม่ได้ฝังกลบอย่างมิดชิด.
            ความโปรดปรานของอัลเลาะห์ที่ประทานให้แก่มนุษย์นั้นก็ใหญ่หลวงเช่นกัน  อัลเลาะห์ได้ส่งอีกาสีดำสองตัวมา  มันทั้งสองตัวได้มาอยู่ในระยะที่กอบีลจะมองเห็น  และได้ต่อสู้กันและตัวหนึ่งได้เอาชนะอีกตัวหนึ่งได้และได้ฆ่ามันตาย แต่มันมิได้มีความลังเลเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับกอบีล ที่แบกร่างพี่น้องของเราโดยไม่รู้ว่าจะจัดการกับศพนั้นอย่างไร      บัดนี้เบื้องหน้าของกอบีลมีภาพที่
น่าแปลกประหลาดเกิดขึ้น  นั่นก็คืออีกาตัวที่ชนะได้ใช้จงอยปากของมันลากอีกาตัวที่ตายไปยังหลุมที่มันได้ขุดขึ้นด้วยเล็บของมันก่อนหน้านี้  แล้วเอาอีกาตัวที่ตายใส่ลงไปในหลุมนั้น แล้วมันก็คุ้ยดินกลบ  การกระทำของอีกานี้เป็นบทเรียนแก่มนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่เป็นบทเรียนแก่กอบีลเท่านั้น กอบีลเห็นอีกาฝังศพของอีกาตัวที่มันฆ่าตาย เขาจึงพูดว่า :  “ ช่างน่าอนาถ ฉันจะไม่สามารถทำได้เหมือนเช่นที่อีกาตัวนี้ทำหรือ เพื่อฉันจะได้กลบร่างพี่น้องของฉัน “  (อัลมาอิดะห์ : 31)
            กอบีลรู้สึกเสียใจ  แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาตรอมใจจนในที่สุดก็เสียชีวิตไปอีกคน หนึ่ง  ชัยตอน ชนะในสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างมันกับลูกหลานของอาดัม, อาดัมเสียใจที่บุตรชาย ซึ่งเป็นคนดีมีคุณธรรมต้องจบชีวิตลง  แต่เขาเป็นผู้มีศรัทธาต่อกำหนดของอัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร และศรัทธาว่ามนุษย์ทุกคนมีกำหนดความตายที่แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อกำหนดความตายของพวกเขามาถึง  พวกเขาจะขอประวิงเวลาออกไป หรือร่นกำหนดเข้ามาไม่ได้ “    (อัลอะอ์รอฟ : 34)
            ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป  ผืนแผ่นดินเต็มไปด้วยลูกหลานของอาดัม จนมีจำนวนนับล้านๆ คนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปบนผืนปฐพีแห่งนี้  ซึ่งทั้งหมดนั้นมีมาจากต้นตอเดียวกัน มาจากคนๆ เดียวคือ อาดัม มนุษย์คนแรก ผู้เป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติ.
           



จบชีวประวัติของท่านนบีอาดัม (.)
ต่อไปเป็นชีวประวัติของนบีอิดรีส (.)








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น