วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หมวดที่ 4. หะดีษต่างๆของท่านนบีมีความขัดแย้งกันหรือไม่

หมวดที่ 4. หะดีษต่างๆของท่านนบีมีความขัดแย้งกันหรือไม่

ด้วยปรากฏว่า มีการอ้างหะดีษต่างๆที่ขัดแย้งกัน จึงขออธิบายดังต่อไปนี้

      1.คัมภีร์ อัลกุรอ่าน ได้เรียกร้องให้มุสลิมเชื่อฟังท่านศาสดา เกี่ยวกับเรื่องนี้ อัลกุรอ่านได้ระบุไว้ในซูเราะห์ อัลหัชด โองการที่ 7 ความว่า และอันใดที่ท่านรอซูลได้นำมายังพวกเจ้า ก็จงยึดเอาไว้ และอันใดที่ได้ห้ามพวกเจ้า ก็จงละเว้นเสีย
และในซูเราะห์อันนิซาโองการที่80 ความว่า  ผู้ใดเชื่อฟังท่านรอซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลเลาะห์แล้ว”  บทหะดีษต่างๆ จะมีข้อความที่ท่านศาสดาทรงอนุญาตหรือห้ามไม่ให้เรากระทำ ด้วยเหตุนี้ หะดีษจึงเป็นส่วนสำคัญของศาสนาอิสลาม และหากไม่มีการปฏิบัติตามก็เท่ากับเป็นการดำเนินการที่ขัดต่ออัลกุรอ่าน

      2. ภายหลังจากที่นักวิชาการมุสลิมได้ศึกษามาเป็นระยะเวลาหลายศตวรรษแล้ว เกี่ยวกับการจำแนกหะดีษที่แท้จริง ออกจากหะดีษที่ไม่จริง ดังที่เราเคยกล่าวมาแล้ว ในบทก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ดี จะมีการละเลยไม่ปฏิบัติตามหะดีษไม่ได้ เนื่องจากหะดีษนั้น เป็นบ่อเกิดที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองในศาสนาอิสลาม จึงจำเป็นที่จะต้องปฎิบัติตามคำสอนของหะดีษ โดยตระหนักถึงการค้นคว้าทางอิสลามว่า มีการจำแนกหะดีษที่แท้จริงออกจากหะดีษที่มีความขัดแย้งกันแล้ว


      3.หะดีษของท่านศาสดา เป็นการขยายความในคัมภีร์อัลกุรอ่าน เช่นชาวมุสลิมจะต้องละหมาดทุกวันตามพิธีการที่ปรากฏในรายละเอียดตามหะดีษ แต่ทว่าพิธีการดังกล่าวนั้นไม่ได้ระบุในอัลกุรอ่าน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่สามารถอธิบายได้ด้วยตัวบทหะดีษ

      4. คัมภีร์อันศักดิสิทธิ์ในศาสนาที่มีการนับถือพระผู้เป็นเจ้าก่อนอิสลามได้จารึกไว้ในลักษณะเช่นเดียวกับการบัญญัติหะดีษ ทั้งนี้ไม่มีผู้ศรัทธาในศาสนาดังกล่าว คือศาสนายิว และคริสต์ ถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนาของตน เนื่องจากมีข้อขัดแย้งหรือยังขาดการตรวจสอบ ดังนั้น ในกรณีเช่นนี้ ควรจะมีการตรวจสอบประเพณีในศาสนาดังกล่าว ถูกต้องหรือไม่ประการใด ซึ่งในกรณีของศาสนาอิสลามนั้น นักวิชาการได้ดำเนินการมาแล้ว ตั้งแต่หลายศตวรรษก่อนหน้านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น