5.ศาสนาอิสลามส่งเสริมความคิดและการกระทำที่รุนแรงหรือไม่
?
1.อิสลามเป็นศาสนาที่สอนให้มีความกรุณาปรานี
และส่งเสริมให้มีความยุติธรรม และสันติภาพ นอกจากนั้นอิสลามยังรักษาเสรีภาพ
เกียรติยศและความมีศักดิ์ศรี
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นเพียงคำขวัญแต่เป็นหลักการที่อิสลามยึดเหนี่ยวอยู่ด้วย
พะผู้เป็นเจ้าได้ส่งศาสนฑูตมุฮัมมัด
ดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลอันบียา โองการที่ 107
ความว่า
"และเราไม่ได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด
นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย"
และศาสดา กล่าวเช่นเดียวกันว่า
"ตัวฉันเองได้ถูกส่ง มาเพื่อทำให้จรรยาบันที่สูงส่งนั้นสมูรณ์ยิ่ง"
อิสลามอนุญาตให้มนุษย์สามารถที่จะเลือกความเชื่อได้
รวมทั้งเรื่องของความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า หรือปฏิเสธความเชื่อก็ตาม
ดังมีหลักฐานปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลกาห์ฟี โองการที่ 29
ความว่า
"และจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้นผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธแท้จริงเราได้เตรียมไฟนรกไว้สำหรับพวกอธรรม
ซึ่งกำแพงของมันล้อมรอบพวกเขา และถ้าพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ
ก็จะถูกช่วยเหลือด้วยน้ำเสมือนน้ำทองแดงลวกใบหน้า
มันเป็นน้ำดื่มที่ชั่วช้าและเป็นที่พำนักที่เลวร้าย"
การเชิญชวนให้นับถือศาสนาอิสลามนั้น เป็นเรื่องของการเชิญชวนจิตใจคน
โดยการเรียกร้องอย่างนิ่มนวลและด้วยการสนทนาอย่างฉันท์มิตร
ไม่ใช่วิธีการบังคับขู่เข็ญใดๆ
ในหลักการของอิสลามได้เรียกร้องให้บรรดาชาวมุสลิมรักษาความยุติธรรม และเสรีภาพ โดยห้ามสิ่งอยุติธรรมใดๆ
ตลอดจนการทารุณ การฉ้อราษฎร์บังหลวง
การกระทำการใดๆที่ชั่วร้ายอันเป็นการส่งเสริมความชั่วให้อยู่ในระดับเดียวกับความดี
ดังปรากฏในอัลกุรอานซูเราะฮ์ฟุซซิลัต โองการที่ 34
ความว่า
"ความดีและความชั่วนั้นหาเท่าเทียมกันไม่
เจ้าจงขับไล่(ความชั่ว) ด้วยสิ่งที่มันดีกว่า
แล้วเมื่อนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างเจ้ากับระหว่างเขาเคยเป็นอริกัน
ก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน"
เมื่อครั้งที่ศาสดามุฮัมมัด ได้รับชัยชนะเหนือประชาชนที่นครมักกะฮ์นั้น
ท่านได้ให้อภัยกับบุคคลเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาเคยติดตามประหัตประหารท่านก็ตาม
โดยได้กล่าวว่า "พวกท่านมีเสรีภาพที่สมบูรณ์แล้ว"
2.มีการเปรียบเทีบกันระหว่างความศรัทธาในศาสนาอิสลามและสันติภาพ
ในภาษาอาหรับคำว่า อิสลามและสลาม นั้นแปลว่าสันติภาพ มาจากรากศัพท์เดียวกัน
พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบอกถึงคุณลักษณะของพระองค์เองในคัมภีร์อัลกุรานว่า
พระองค์เป็นผู้สันติ เมื่อบรรดามุสลิมทักทายกันก็จะทักทายกันด้วยการให้สลาม
(อัสลามุอลัยกุม แปลว่า ขอความสันติจงประสบแด่ท่าน) เสมือนเป็นการเตือนอยู่เสมอว่า
ความสันตินั้นเป็นหลักการหนึ่งที่สำคัญของอิสลามที่จะต้องรักษาไว้ในจิตใจของมุสลิมทุกคน
มุสลิมทุกคนเมื่อละหมาดวันละ 5 เวลา ก็จะจบการละหมาดด้วยการให้สลาม
โดยหันหน้าไปทางขวาและทางซ้าย พร้อมกับกล่าวสลาม (ความสันติ)
3.จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาข้างต้นเห็นได้ว่า
อิสลามเป็นศาสนาที่รักความสันติ โดยไม่เปิดช่องว่างให้ใช้ความรุนแรง ความบ้าระห่ำ
การก่อการร้าย หรือการโจมตี บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
คำสั่งสอนและหลักการของอิสลามมุ่งที่จะพิทักษ์รักษาสิทธิมนุษยชน
ซึ่งหมายรวมถึงสิทธิในชีวิต ครอบครัว ความเชื่อ ความคิด และทรัพย์สิน หลักการศรัทธาในอิสลามห้ามไม่ให้มีการทร้ายผู้อื่น
ซึ่งการทำร้ายผู้อืนนั้นเปรียบเสมือนการทำร้ายมนุษย์ชาติ
ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลมาอีดะฮ์ โองการที่ 34 ความว่า
"แท้จริงผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งโดยมิใช่ทดแทนอีกชีวิตหนึ่ง
หรือมิใช่เนื่องจากบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามวลมนุษย์ทั้งมวล"
ดังนั้นปัจเจกชนจึงเป็นเรื่องของมนุษยธรรมและความห่วงใยของศาสนาอิสลามในเรื่องการพิทักษ์รักษามนุษยธรรม
จึงปรากฏอยู่ในการที่มนุษย์คนหนึ่งให้ความเคารพต่อมนุษย์อีกคนหนึ่ง
โดยการเคารพถึงเสรีภาพ ความมีศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษย์ชนของเขา
ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
"มุสลิมนั้นห้ามที่จะมีการนองเลือด ลักทรัพย์
หรือทำลายเกียรติภูมิของมุสลิมด้วยกัน"
นอกจากนั้นยังได้กล่าวอีกว่า
"ผู้ใดที่ทำลายล้างผู้ซึ่งนับถือพระผู้เป็นเจ้า จะไม่่ได้รับการอภัยในเรื่องของการทำลายล้างนั้นในวันพิพากษา (กิยามะฮ์) "
ศาสนาอิสลามได้เรียกร้องให้ทุกๆประชาชาติอยู่ร่วมกันด้วยสันติวิธี
อีกทั้งให้มุสลิมปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมด้วยความยุธรรม
ดังมีหลักฐานปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ที่ 60
โองการที่ 8 ความว่า
"พระองค์ อัลลอฮ์ มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา
และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า
ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขาแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้ที่มีความยุติธรรม"
4.ความรับผิดชอบที่จะรักษาสมาชิกของประชาคมใดๆ
เป็นความรับผิดชอบของทุกคนในประชาคมนั้นๆ
การรับผิดชอบร่วมกันจึงเป็นหนทางเดียวที่จะให้เกิดความมั่นคง
และเสถียรภาพเพื่อที่จะไม่ให้มีการโกงกิน มีอันตรายมาคุกคาม
และเพื่อมิให้เกิดความเสื่อมทรามลง
ในอีกตอนหนึ่งท่านศาสดาได้เปรียบเทียบพวกเราทุกคนเสมือนกับบุคคลที่นั่งอยู่ในเรือลำเดียวกัน
โดยมีคนจำนวนหนึ่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ภายในลำเรือนั้น
เมื่อคนที่อยู่ในเรือต้องการน้ำที่จะดื่ม จึงขึ้นไปหาคนที่อยู่บนดาดฟ้าแล้วบอกว่า
เขาสามารถที่จะหาน้ำดื่มด้วยการเจาะรูที่ท้องเรือ ซึ่งในการกระทำเช่นนั้น
เขาไม่ต้องการที่จะทำลายบุคคลที่อยู่ข้างบน
ดังนั้นหากบุคคลที่อยู่บนดาดฟ้าไม่ห้ามพวกเขาทุกคนก็จะจมน้ำตาย
แต่หากพวกเขาห้ามไม่ให้เจาะรูที่ท้องเรือ ทุกคนก็จะปลอดภัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น