วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นบีฮูด

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่งผู้ทรงกรุณายิ่ง

ชีวประวัติของนบีฮูด (.)

            นี่คือหนึ่งจากชีวประวัติการต่อสู้และวีรกรรมอันน่ายกย่อง และเป็นหนึ่งจากชีวประวัติของบรรดานบีทั้งหลายที่อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ส่งพวกเขามาเพื่อชี้นำมนุษยชาติสู่หนทางที่ถูกต้อง และแนะนำมวลมนุษย์สู่ศาสนาที่แท้จริง และสู่เส้นทางที่เที่ยงตรง.
            ในเมื่อบรรดานบีต่างๆ ที่เราได้นำชีวประวัติของท่านเหล่านั้นมากล่าวถึงไว้ก่อนแล้วอันได้แก่นบีอาดัม, นบีอิดรีส, และนบีนัวฮ์ (.ได้ถูกส่งมาเพื่อมวลมนุษยชาติทั้งปวงในยุคของพวกเขา  แต่ศาสนทูตที่เราจะนำชีวประวัติของเขามาเสนอ และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาในหน้าบันทึกต่อไปนี้  เป็นศาสนทูตที่ถูกส่งมายังกลุ่มชนหนึ่งที่แน่นอน ในสถานที่ที่แน่นอน และในเวลาที่แน่นอน  และนี่คือแนวทางของศาสนทูตส่วนใหญ่ภายหลังจากนี้  ทั้งนี้เพราะแผ่นดินกว้างขวาง ผู้คนมากมาย  กระจัดกระจายเป็นก๊กเป็นเหล่า  และมีประชากรอยู่บนโลกใบนี้มากหลาย โดยที่ยังไม่มีเครื่องมือสื่อสารใช้ติดต่อซึ่งกันและกัน  ที่จะทำให้การประกาศศาสนาของนบีไปถึงชาวโลกทั่วทั้งหมด  บางครั้งอาจมีนบีสองท่านในยุคเดียวกัน  ซึ่งแต่ละท่านต่างก็ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาแก่พวกพ้องของตนและในท้องถิ่นของตนเท่านั้น.
            ภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกสิ้นสุดลง และเรือของนบีนัวฮ์ ติดอยู่ที่ภูเขา อัลญูดีย์  ผู้คนมีการสืบพันธุ์กัน และมีจำนวนมากขึ้น  เริ่มเกิดเป็นหมู่เป็นเหล่า เป็นพวกเป็นกลุ่ม และเป็นประชาชาติต่างๆ กัน และหนึ่งจากเผ่าพันธุ์เหล่านั้นก็คือ เผ่า อาด “.
            อาด เป็นเผ่าพันธุ์ ที่รู้กันดีว่าเป็นพวกที่แพร่ความชั่วร้ายในระหว่างกันเอง และสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดิน  อันเป็นผลมาจากการที่พวกเขาทรยศต่อความโปรดปรานของอัลเลาะห์  และปฏิเสธความเมตตาของพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ไม่ยอมสักการะอัลเลาะห์อย่างถูกต้องซึ่งจะนำพาพวกเขาให้ได้ใกล้ชิดกับองค์ผู้อภิบาล.
           

อัลเลาะห์ได้ส่งนบีท่านหนึ่งไปยังพวกเขา เพื่อประกาศเชิญชวนพวกเขาสู่หนทางที่ถูกต้อง และความดีงาม แจ้งข่าวดีแก่พวกเขาว่าจะได้รับความสมหวังและชัยชนะ เมื่อพวกเขาตอบรับคำเชิญชวนของเขา และศรัทธาต่ออัลเลาะห์ผู้อภิบาลสากลโลกและนบีท่านนี้ก็คือนบีฮูด (.).
            พวก อาด ตอบรับตามคำเชิญชวนของนบีของพวกเขาไหม? และศรัทธาต่อตำแหน่งศาสนาทูตของเขาหรือเปล่า ?

            พวกเราจงมาพลิกหน้าบันทึกประวัตินี้ไปพร้อมๆ กัน เพื่อพวกเราจะได้รับรู้พฤติกรรมของพวก อาด ที่กระทำต่อนบีของพวกเขาคือ ฮูด” (.)

ใครคือ พวก อาด ?

ภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกแล้ว  นบีนัวฮ์ (.) ได้กลับคืนไปสู่ความเมตตาของ อัลเลาะห์ และได้ทิ้งลูกหลานไว้เบื้องหลัง ซึ่งสามคนนี้คือตัวแทนบุตรของนบีนัวฮ์ (.) ได้แก่ ซาม, ฮาม, และยาฟิซ  สำหรับซามและฮาม ได้ให้กำเนิดลูกหลานไว้มากมาย และแผ่กระจายไปบนหน้าแผ่นดิน, และคนหนึ่งจากลูกหลานของซามมีชื่อว่า อาดนบี ฮูด “ (.) ก็มาจากลูกหลานของซาม และอาด  เป็นผู้ที่อัลเลาะห์ส่งมาเป็นทั้งนบีและรอซู้ล ยังพวกพ้องของเขา  ภายหลังจากเวลาได้ผ่านไปช่วงหนึ่ง.

เผ่าอาด อาศัยอยู่ในเขตหนึ่งของคาบสมุทรอาหรับ ทางตอนใต้ของ รอบอุ้ลคอลีย์ อันเป็นเขตที่เวิ้งว้างและห่างไกล  ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ เขตฮัดรอเมาต์ อยู่ใกล้ชายแดนของรัฐโอมานในปัจจุบัน  และอยู่ระหว่างรัฐโอมานกับเยเมนบนชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย.




ความเสื่อมทรามเริ่มปรากฏ

           
ทันทีที่เผ่าอาด ลืมศาสนาของอัลเลาะห์ ซึ่งบรรดานบีก่อนๆ ได้นำมา, และนบีท่านสุดท้ายในยุคของพวกเขาก็คือนบีนัวฮ์ (.) . พวกอาดเริ่มแสวงหาพระผุ้เป้นเจ้าเพื่อการสักการะ  พวกเขาเปลี่ยนไปนับถือรูปปั้น และนำมาสักการะ โดยไม่สักการะอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังได้เทิดทูนรูปปั้นเช่นเดียวกับที่พวกพ้องของนัวฮ์เทิดทูนรูปปั้นของพวกเขาอันได้แก่รูปปั้นที่มีชื่อว่า วัดด์สุวาอ์, ยะฆูสยะอูก และนัสร์.
พวกอาด ได้จัดทำรูปปั้นขึ้นสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ  และได้ขนานนามรูปปั้นเหล่านั้น โดยไม่มีหลักฐานใดๆที่ควรเชื่อถือ เหมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำเช่นนั้นมาก่อน  พวกเขามีรูปปั้นที่ชื่อ ซอมูดอีกองค์หนึ่งชื่อ อัลฮัตตารและองค์ที่สามมีชื่อว่า ซอดาอ์
ทั้งที่พฤติกรรมของพวกเขาเป็นเช่นนี้ อัลเลาะห์ก็ยังได้ประทานให้พวกเขามีเรือนร่างที่ใหญ่โต มีความเข้มแข็ง และมีความร่ำรวย แต่พวกเขาไม่ได้สำนึกในบุญคุณของอัลเลาะห์ ไม่ได้เคารพสักการะอัลเลาะห์ซึ่งประทานความเมตตาให้แก่พวกเขาอย่างมากมาย  พวกเขาหันไปเคารพสักการรูปปั้นที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา  และยังได้บ่อนทำลายในหน้าแผ่นดิน  พวกเขาหลงตนว่ามีร่างกายกำยำแข็งแกร่ง  ลำพองในทรัพย์สินที่พวกเขามีอย่างมากมาย  โดยลืมไปว่าความแข็งแกร่ง และความร่ำรวยนั้นแท้ที่จริงมาจากความโปรดปรานของอัลเลาะห์ และแท้จริงอัลเลาะห์เป็น

ผู้ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่พวกเขา  พระองค์ทรงเดชานุภาพที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขา   พลิกผันสิ่งที่พวกเขามีอยู่   ทำลายล้างพวกเขา  และทำลายสิ่งที่ทำให้พวกเขาหยิ่งลำพอง.
ฮูด  ถูกแต่งตั้งมายังพวกเขา

ทั้งที่พวกอาด ทรยศต่อความโปรดปรานของอัลเลาะห์  และปฏิเสธความเมตตาของพระองค์ที่มอบให้แก่พวกเขา  แต่อัลเลาะห์ก็ยังไม่ได้ลงโทษพวกเขาที่หลงผิด และ

สร้างความเสื่อมทรามอัลเลาะห์ประสงค์จะยืนยันหลักฐานแก่พวกเขาก่อนเป็นลำดับแรก  ซึ่งเป็นไปตามคำมั่นสัญญาและความยุติธรรมของพระองค์  ด้วยการส่งศาสนทูตที่จะทำหน้าที่แจ้งข่าวดี และเตือนภัย  เพื่อที่มนุษย์จะไม่สามารถอ้างกับอัลเลาะห์ได้ว่าพระองค์ไม่ส่งศาสนทูตมายังพวกเขาพระองค์จึงได้ส่ง ฮูด (.) ซึ่งเป็นคนหนึ่งจากพวกเขา มาเป็นศาสนทูต, เป็นบุคคลที่อัลเลาะห์ได้เลือกสรรแล้วว่าเป็นคนที่มีศักดิ์ตระกูลดีที่สุด  มีรูปร่างงดงาม และมีกิริยามารยาทที่ดี.
ด้านวงศ์ตระกูลนั้นนักประวัติศาสตร์ด้านชีวประวัตินบีกล่าวว่า เขาคือ ฮูด บุตรของอับดุลเลาะห์ บุตร ริยาฮ์ บุตรคุลูด บุตร อาด บุตร อูส บุตร อิรอม บุตร ซาม บุตร นัวฮ์ (.), ฮูดมาจากสาขาหนึงของเผ่า คุลูด”  เขาเป็นบุคคลสำคัญของเผ่า  มีผิวขาว  เครายาว  ผู้ที่ได้พบเห็นเขาจะรู้สึกเกรงขาม  เขามีบุคลิกภาพที่น่านับถือ.
ฮูด พบเห็นความเสื่อมทรามต่างๆ ที่พวกพ้องของเขากระทำ  เขาได้ตักเตือนแนะนำคนเหล่านั้น  แจ้งให้พวกเขาทราบสาส์นขององค์อภิบาลของเขา  เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสู่การเคารพสักการะอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีคู่ภาคีใดๆ สำหรับพระองค์  และได้ห้ามปรามพวกเขาจากการละเมิดซึ่งกันและกัน  เพราะอัลเลาะห์ทรงห้ามพระองค์เองมิให้ละเมิด และพระองค์ได้กำหนดให้การละเมิดเป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างมนุษย์  แต่พวกเขาไม่ตอบรับคำเรียกร้องเชิญชวนของฮูด  พวกเขาหันหลังให้ฮูดโดยสิ้นเชิง.
คำประกาศเชิญชวนของ ฮูด (.) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงใช้ให้เคารพสักการะอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  แต่เขายังได้ประกาศเรียกร้องพวกพ้องของเขาให้ทำอิบาดะห์ที่แท้จริงอีกด้วยซึ่งจะครอบคลุมถึงการปฏิบัติด้วยดีต่อกัน รวมถึงความซื่อสัตย์สุจริต  ความมีสัจจะ  ความบริสุทธิ์ใจทั้งในการกระทำและคำพูด  และเขาได้เตือนภัยพวกพ้องของเขาให้ระวังการลงโทษจากอัลเลาะห์  เพราะการลงโทษของอัลเลาะห์นั้นเมื่อเกิดขึ้นจะไม่มีผู้ใดสามารถปัดป้องให้พ้นไปจากพวกผู้ไร้ศรัทธาได้เลยฮูด ได้ยกตัวอย่างพวกพ้องของนัวฮ์ (.) ให้แก่พวกเขาโดยกล่าวว่า :
- โอ้ พวกพ้องของฉัน  ฉันขอเตือนให้พวกท่านรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลเลาะห์    ตาอาลา ที่ได้มอบให้แก่พวกท่าน  และยังให้พวกท่านมีรูปร่างที่สูงใหญ่  และมีอายุที่ยืนยาวและความจริงอัลเลาะห์ได้ประทานทรัพย์สินอย่างมากให้แก่พวกท่าน

  พระองค์ได้มอบผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ให้แก่พวกท่าน และมันได้ให้ผลผลิตเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่พวกท่านรับประทาน  มันได้ทำให้ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม เพื่อพวกท่านได้เลี้ยงสัตว์ แล้วพวกท่านยังมีอะไรที่บกพร่องอยู่อีก ? เหล่านี้มิใช่ความโปรดปรานของพระเจ้าที่พวกท่านควรสำนึกในบุญคุณหรอกหรือ ?
 พวกเขาได้กล่าวแก่ฮูดว่า : ท่านต้องการอะไรจากพวกเรา, พวกเราเป็นพวกที่มีพละกำลังมาก  เป็นพวกที่มีอำนาจมากยิ่งกว่าใครๆ ไม่มีวันหรอกที่พวกเราจะตอบสนองคำเชิญชวนของท่าน  ไม่ว่าท่านจะมีตำแหน่งอะไร  และไม่ว่าท่านจะใช้เวลาในการเชิญชวนนานเท่าใดก็ตาม.
ฮูด ไม่ท้อแท้ในการทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาของอัลเลาะห์   เขายังคงทำหน้าที่ต่อไปเชิญชวนพวกเขาสู่ความดีงาม  แนะนำพวกเขาให้ใช้สติปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่อัลเลาะห์ได้ประทานให้แก่มวลมนุษย์, ฮูด กล่าวแก่พวกเขาว่า  โอ้พวกพ้องของฉัน  พวกท่านจงใช้สติปัญญาตรึกตรองดูเถิดว่าสิ่งที่พวกท่านเคารพสักการะอยู่นั้นแท้ที่จริงเป็นเพียงก้อนหินที่พูดไม่ได้  มองไม่เห็นและไม่ได้ยิน  ไม่สามารถให้คุณและให้โทษกิจการของสรรพสิ่งต่างๆ  ล้วนอยู่ในเงื้อมมือของอัลเลาะห์ทั้งสิ้นแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีสิ่งใดเป็นคู่ภาคีของพระองค์. พระองค์เป็นผู้ประทานความโปรดปรานต่างๆให้แก่พวกท่านอย่างไม่ขาดตอน  พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งพวกท่านแม้เพียงกระพริบตา .. พวกพ้องของฉันเอ๋ย จงคิดและไตร่ตรองเถิดว่าใครเป็นผู้สร้างพวกท่านขึ้นมาใครเป็นผู้กำความเป็นความตายของพวกท่านไว้ในกำมือ? ใครคือผู้ที่พวกท่านจะต้องยำเกรง และวอนขออภัย ? แน่นอนคืออัลเลาะห์ผู้ทรงรับการสำนึกผิด และผู้ทรงเมตตายิ่ง  พระองค์จะให้อภัย และยกโทษบาปต่างๆ ที่พวกท่านได้ก่อขึ้น เมื่อพวกท่านวิงวอนขออภัยโทษต่อพระองค์การมีศรัทธาของพวกท่านจะลบล้างความผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นจนบริสุทธิ์ เหมือนพวกท่านเป็นทารกที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆ !!
แต่พวกอาด ก็ยังคงดื้อดึง และดูหมิ่นดูแคลนนบีฮูด, พวกเขากล่าวว่า : โอ้ ฮูด ท่านต้องการผลตอบแทนอะไรจากการประกาศเชิญชวนนี้ ? พวกเราจะทิ้งพระเจ้าของเรา และพระเจ้าบรรพบุรุษของเราอันได้แก่ ซอมูด, ฮัตตาร, และซอดาอ์  ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำที่ท่านพูดอย่างนั้นหรือ ?


พวกเขายังคงหลงผิดและตกอยู่ในความมืดบอดทางปัญญาอยู่ต่อไปพร้อมกับกล่าวว่า :
โอ้ ฮูด  ท่านต้องการให้พวกเราสถาปนาท่านขึ้นเป็นผู้นำและหัวหน้าของพวเราใช่ไหม, เบื้องหลังของการประกาศเชิญชวนนี้ท่านต้องการเป็นผู้มีอำนาจในหมู่พวกเราใช่ไหม ?
ฮูด ไม่โกรธ  และไม่ใช่วิสัยของนบีทั้งหลายที่จะโกรธ เพราะเมื่อพวกเขาโกรธ  ความโกรธของพวกเขาจะเป็นพายุที่รุนแรง  เพราะนบีจะไม่โกรธนอกจากโกรธเพราะอัลเลาะห์ เมื่อนบีโกรธก็ย่อมหมายถึงอัลเลาะห์โกรธด้วย, นบีฮูดได้กล่าวว่า :
โอ้พวกพ้องของฉัน พวกท่านรู้ฐานะของฉันในหมู่พวกท่านได้เป็นอย่างดี  พวกท่านก็ทราบว่าฉันไม่ต้องการค่าตอบแทนอะไร หรือตำแหน่งใดๆ จากการทำหน้าที่ประกาศเชิญชวนนี้  แต่ฉันมาตักเตือนพวกท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลเลาะห์ตาอาลา  ฉันก็หวังแต่เพียงให้พวกท่านได้กลับมาสู่ทางนำที่ถูกต้อง  กลับมาสู่การใช้สติปัญญา  ฉันไม่ได้หวังการตอบแทนจากผู้ใด นอกจากอัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้าของฉันและของพวกท่านเท่านั้น  ฉันเป็นศาสนทูตที่มาจากอัลเลาะห์  มีหน้าที่เผยแพร่ศาสนาของพระองค์.
พวกเขาไม่ยอมตามสัจธรรม  และไม่ยอมคิดในคำพูดของฮูดอย่างผู้มีสติ  เมื่อการหว่านล้อมให้ฮูดได้มีอำนาจและมีทรัพย์สินเงินทองเพื่อแลกกับการเลิกเผยแพร่ศาสนาไม่ได้ผล  พวกเขาได้กลับไปใช้วิธีการข่มขู่ให้หวาดกลัว  โดยเริ่มต้นด้วยการคุกคามทางด้านจิตใจ  พวกเขาคิดว่ามันจะมีผลต่อฮูดและการเผยแพร่ศาสนาของเขา ..  พวกเขากล่าวว่า :
 โอ้ ฮูด ท่านเป็นคนที่โง่เขลา  ท่านเป็นคนอุตริ ชอบอ้างโน่น อ้างนี่ และเป็นคนขี้โกหก  ท่านใช้พวกเราให้ละทิ้งพระเจ้าของเรา และของบรรพบุรุษของเรา  โดยให้พวกเราศรัทธาต่อพระเจ้าของท่าน ที่ท่านอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพวกเรา และเป็นผู้สร้างพวกเราด้วย  นี่มันเป็นสิ่งที่น่าสงสัยและน่าประหลาดมาก !!
           ฮูด ยังคงอดทน และนุ่มนวล  เขาเผชิญกับดำพูดของคนเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม  เขากล่าวว่า :


พวกพ้องของฉันเอ๋ย  พวกท่านก็ทราบดีว่าถ้าหากพวกท่านปลดปล่อยให้สติปัญญาของท่านเป็นอิสระ พ้นจากการครอบงำของจารีตที่สืบต่อกันมา พวกท่านก็จะพบว่าฉันไม่ใช่เป็นคนโง่  ไม่ใช่เป็นคนโกหก  แต่ฉันเป็น ศาสนทูตของอัลเลาะห์องค์อภิบาลสากลโลก ฉันทำหน้าที่ประกาศศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า  และตักเตือนพวกท่าน และฉันวิงวอนต่ออัลเลาะห์ได้โปรดประทานให้พวกท่านเป็นพวกที่อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง.
พวกพ้องของฮูดยังคงดื้อดึง และใส่ร้ายเขาว่ารูปปั้นที่เป็นพระเจ้าของพวกเขาได้ทำให้เขาเป็นบ้าและเสียสติไปแล้ว พวกเขากล่าวว่า :
พวกเราเห็นว่าพระเจ้าของเราทำให้ท่านเสียสติไปแล้วเพราะท่านไปตำหนิรูปปั้นเหล่านั้น และพยายามจะทำให้พวกเราเลิกเคารพสักการะพระเจ้าเหล่านั้นจึงทำให้ท่านเสียสติและเป็นบ้าไปนี่คือผลลัพธ์ของผู้ที่ตำหนิพระเจ้าของเรา และประณามพวกที่กราบไหว้ว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาโอ้ ฮูด  ในสายตาของพวกเรานั้นท่านก็เป็นเพียงคนที่ขาดสติพูดพล่ามแต่สิ่งที่ไม่มีใครยอมรับ  และสติปัญญาไม่อาจคิดหาเหตุผลได้.
ผลจากการคุกคามนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่เบือนหนีจากการประกาศศาสนาของฮูด (.พวกเขาไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมศรัทธาต่อสิ่งที่ฮูดนำมา  ที่จะมีศรัทธาอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งได้แก่คนที่ยากจน และคนที่อ่อนแอ.
แต่ฮูดก็ไม่ได้หยุดนิ่ง  เขาไม่หวั่นไหวต่อข้อกล่าวหาของพวกพ้อง  เขาได้เผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างท้าทาย  เขากล่าวว่า :
โอ้ พวกพ้องของฉัน  ฉันขอท้าทายพวกท่านและพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่าน ให้มาทำร้ายฉันเถิด  ฉันขอให้อัลเลาะห์ ตาอาลา เป็นพยานว่า ฉันไม่เกี่ยวข้องใดๆกับรูปปั้นและรูปเคารพเหล่านี้เลย ที่พวกท่านนับถือเป็นพระเจ้า และเชื่อว่าสามารถดลบันดาลให้เกิดความเป็นไปต่างๆ แก่มนุษย์ได้  ฉันขอท้าทายว่าถ้าหากพระเจ้าของพวกท่านมีความสามารถที่จะกระทำได้สักสิ่งเดียว ก็จงกระทำให้เกิดกับฉันเถิด  และจงบันดาลมันขึ้นมาเถิด.
รูปปั้นของพวก อาด ไม่สามารถทำให้เกิดภัยอันตรายใดๆกับฮูดได้เลย ฮูด (.) ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า :

พวกพ้องของฉัน เอ๋ย พวกท่านอย่าเบือนหนีจากคำประกาศเชิญชวนสู่สัจธรรมนี้เลย  ฉันเป็นผู้มาตักเตือนพวกท่าน และฉันเป็นผู้มาตักเตือนที่เชื่อถือได้  ฉันเป็นศาสนทูตที่มาจากองค์อภิบาลสากลโลก, แท้จริงอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าของฉันและเป็นพระเจ้าของพวกท่าน อำนาจการปกครองและกิจการทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์, และถ้าหากพระองค์ประสงค์ พระองค์อาจทำลายพวกท่านเสียทั้งหมด แล้วนำกลุ่มชนอื่นมาแทนพวกท่าน.
พวกพ้องของฮูด เริ่มปรึกษาหารือกัน คล้ายกับพวกเขาเริ่มได้รับการชี้นำสู่หนทางที่ถูกต้อง  บางคนของพวกเขากล่าวว่า :
ฮูด เรียกร้องเราสู่เรื่องที่ดีงาม  เรารู้จักฮูด ดี ทั้งด้านเกียรติยศ วงศ์ตระกูล ความมีสัจจะ และบุคลิกภาพของเขาที่ไม่มีความชั่วใดๆ มาปะปนตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา  แต่ก็มีบางคนที่ยังแสดงความยโสโอหัง โดยกล่าวว่า :
อัลเลาะห์ หาใครไม่ได้แล้วหรือจึงส่งฮูด มายังพวกเรา ให้มาทำหน้าที่ประกาศเชิญชวนนี้ทำไมอัลเลาะห์จึงไม่ส่งศาสนทูตจากเผ่าอื่นมายังพวกเรา ? ทำไมจึงต้องเป็นฮูด ทำไมจึงไม่เป็นคนนั้น คนนี้ ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงของพวกเรา ?
พวกที่สามกล่าวว่า :
ความจริงพวกเราศรัทธาต่อพระเจ้าของฮูด ที่เขาประกาศเชิญชวนพวกเราให้ศรัทธา  รูปปั้นเหล่านี้เป็นเพียงสื่อที่จะทำให้พวกเราได้เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้าเท่านั้น  ถ้าหากพวกเราไม่สักการะบูชารูปปั้นและไม่ศรัทธา ก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นดูแคลนบรรพบุรุษของเรา และเท่ากับเป็นการยอมรับว่าทรยศต่อรูปปั้นเหล่านั้น  พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสักการะบูชารูปปั้นเหล่านี้ต่อไปในฐานะสื่อกลางที่จะนำคำวิงวอนของพวกเราไปสู่อัลเลาะห์ เพื่อพระองค์จะได้ตอบรับคำวิงวอนของพวกเรา  แล้วพวกเราจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะอยู่ในความพอใจของพระองค์.
อัลกุรอาน ได้พรรณนาให้พวกเราได้ทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่าง ฮูด กับพวกพ้องของเขา ไว้ในอายะห์เหล่านี้ :
อัลเลาะห์ ตาอาลาตรัสว่า :
พวกอาด ได้กล่าวหาบรรดาศาสนทูตว่าพูดปด , ขณะที่พี่น้องของเขาเองคือนบีฮูด ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์เถิด,    แท้จริงฉันเป็นศาสนทูตที่

ซื่อสัตย์ที่ถูกส่งมายังพวกท่านดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์ และจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามฉันเถิด, ฉันไม่ได้ขอค่าตอบแทนจากพวกท่านในการทำหน้าที่นี้ ค่าตอบแทนของฉัน ไม่ได้มาจากผู้ใด นอกจากองค์อภิบาลสากลโลกเท่านั้นพวกเจ้าสร้างอนุสรณ์สถานไว้บนที่สูงทุกแห่งเพื่อโอ้อวดอย่างนั้นหรือ, และพวกท่านสร้างบ้านเรือนเสมือนกับว่าพวกเจ้าจะอยู่กันตลอดกาลอย่างนั้นหรือ, และเมื่อพวกท่านละเมิดผู้ใด พวกท่านละเมิดอย่างป่าเถื่อน, ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์ และเชื่อฟังฉันเถิด, และพวกท่านจงยำเกรงผู้ที่ได้ประทานให้แก่พวกท่าน ในสิ่งที่พวกท่านรู้ดีอยู่แล้วพระองค์ประทานให้แก่พวกท่านด้วยปศุสัตว์และลูกหลาน, สวนอันหลากหลายและตาน้ำหลายแห่ง, แท้จริงฉันกลัวว่าพวกท่านจะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่,,  พวกเขากล่าวว่ามีผลเท่ากันสำหรับเรา ไม่ว่าท่านจะตักเตือนเราหรือไม่เป็นผู้ตักเตือนเราก็ตาม, นี่ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นเรื่องโกหกของคนในยุคก่อนและพวกเราจะไม่ใช่เป็นพวกที่ถูกลงโทษพวกเขาไม่เชื่อนบีฮูด ดังนั้นเราจึงได้ทำลายล้างพวกเขา  แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน  แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ศรัทธา, และแท้จริงพระเจ้าของท่านนั้น พระองค์ทรงเดชานุภาพยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง “ (อัชชุอะรออ์ :123-140)














การลงโทษอันน่าสะพึงกลัว


            ฮูต มั่นใจว่าการสนทนาและโต้เถียงกับพวกพ้องของเขาต่อไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะพวกพ้องของเขาเป็นพวกที่หลงผิด ต่อสู้ความจริง และห่างไกลจากสัจธรรม พวกเขายังยืนกรานปฏิเสธศรัทธาสิ่งที่ศาสนทูตนำมา  อีกทั้งระยะเวลาที่สนทนาและโต้เถียงกันนั้นก็ได้เสียไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว  แต่พวกพ้องของเขาก็ยังคงปฏิเสธอยู่เช่นเดิม.
            ฮูต เฝ้าวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยดวงใจอันปวดร้าวเพราะความดื้อดึงจากพวกพ้องของเขา  เขาได้กล่าวคำวิงวอนว่า :
            ข้าแด่องค์อภิบาล ท่านทราบดีว่าฉันได้สั่งสอนพวกเขา และได้เตือนพวกเขาให้ระวังภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นจากความดื้อดึงของพวกเขา  ฉันได้แจ้งให้พวกเขาทราบว่าฉันเป็นศาสนทูตมาจากอัลเลาะห์  ฉันได้ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างครบถ้วน  ฉันได้ทำการเผยแพร่ศาสนาตามที่ได้รับคำสั่งจากพระองค์  ฉันได้ใช้วิธีการทุกอย่างที่จะชี้นำพวกพ้องของฉัน.ข้าแด่องค์อภิบาล ภายหลังจากนี้ยังจะมีหนทางอื่นอีกไหมที่จะใช้ในการชี้นำทางแก่พวกเขาและเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะเป็นพวกที่ได้รับการชี้นำ ?
            อัลเลาะห์ได้แจ้งแก่ฮูต (.) ว่า พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่ขาดทุน  และอีกไม่นานความกริ้วและการลงโทษจากอัลเลาะห์จะบังเกิดกับพวกเขา.
            ฮูต รีบกลับไปพบกับพวกพ้องของเขาทันทีเพื่อแจ้งข่าวร้ายนี้และเตือนภัยให้พวกเขาได้รับทราบโดยกล่าวแก่พวกเขาว่า :
            พวกพ้องของฉันทั้งหลาย  ฉันขอแจ้งข่าวร้ายและเตือนภัยแก่พวกท่านว่าความกริ้วและการลงโทษจากอัลเลาะห์จะบังเกิดแก่พวกท่านในเร็ววันนี้อัลเลาะห์ ชิงชังพวกท่านเพราะความประพฤติอันเลวทรามของพวกท่าน  พวกท่านฟังฉันอยู่หรือเปล่าพวกพ้องของฉันเอ๋ย ฉันวิตกถึงการลงโทษอันเจ็บปวดในวันอันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับพวกท่าน.
            พวกพ้องของนบีลูตได้รับฟังคำเตือนโดยไม่มีความวิตกกังวลแต่อย่างใด  ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ดูหมิ่นดูแคลนนบีฮูตมากยิ่งขึ้น พวกเขากล่าวว่า :
            ถ้าหากท่านพูดความจริง ขอได้โปรดนำสิ่งที่ท่านสัญญาไว้ให้มาเกิดขึ้นเถิด.

            คำพูดเช่นนั้นแสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของพวกเขาเอง  เพราะถ้าหากพวกเขามีสติปัญญาก็น่าที่จะได้กล่าวว่า  โอ้ ฮูต ขอท่านได้โปรดวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้ชี้นำพวกเราสู่หนทางที่ถูกต้องและสู่ศรัทธาในการเป็นศาสนทูตของท่านด้วยเถิด แต่พวกเขาต่อสู่ความจริง และเรียกร้องหาการลงโทษ .
            ฮูต (.) ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า :
            โอ้พวกพ้องของฉัน พวกท่านได้เรียกร้องหาการลงโทษด้วยตัวของพวกท่านเองดังนั้นพวกท่านจงรอคอยการลงโทษ และความกริ้วโกรธจากผู้ทรงอำนาจเด็ดขาดเถิด  ฉันขอยืนยันต่ออัลเลาะห์ และยืนยันต่อพวกท่านว่าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสิ่งที่พวกท่านกระทำ  พวกท่านเป็นพวกที่ปฏิเสธอัลเลาะห์  และเป็นผู้ที่ทรยศต่อความโปรดปรานของพระองค์  และไม่มีพวกใดหรอกที่จะกระทำเช่นนี้นอกจากพวกที่ขาดทุนและล้มเหลวเท่านั้น. เป็นการแน่นอนเหลือเกินว่าการลงโทษจากอัลเลาะห์จะต้องเกิดขึ้นกับพวกท่านเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับพวกไร้ศรัทธาทั้งหลายที่อยู่ในยุคก่อนพวกท่านมาแล้ว.
            พวกของฮูต รอคอยคำมั่นสัญญาของอัลเลาะห์ที่จะลงโทษพวกเขา  ยิ่งนานวันออกไปเท่าไร  พวกเขาก็ยิ่งก้าวร้าว และดูหมิ่นดูแคลนฮูตมากยิ่งขึ้น, แต่เมื่อการลงโทษจากอัลเลาะห์เกิดขึ้น มันจะสามารถกลบและลบคำดูหมิ่นดูแคลนลงได้อย่างสิ้นเชิง.
            คำเตือนภัยว่าจะเกิดการลงโทษขนานใหญ่ได้ก่อตัวขึ้น .. ความแห้งแล้งเริ่มเกิดขึ้นก่อน จนสายน้ำแห้งผากและผืนแผ่นดินแตกระแหง พืชพันธัญญาหาร และสัตว์เริ่มล้มตายลง  อาหารเริ่มหมด ความอดยากแร้นแค้นแผ่ไปทั่ว  มันได้ทำให้พวกเขาเกือบตายด้วยความหิวโหยและกระหาย.
            ฮูต ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ไม่ใช่เพื่อเยาะเย้ย ถากถางหรือดูหมิ่นดูแคลน แต่เพื่อมาทำหน้าที่อบรม และสั่งสอนพวกเขา โดยหวังว่าพวกเขาจะสำนึกผิดและกลับตัวกลับใจ ก่อนที่การลงโทษจากอัลเลาะห์จะเกิดขึ้นครบกระบวนการ แล้วพวกเขาก็จะต้องพบกับความพินาศทั้งหมด.
            ด้วยวิทยปัญญาและคำสั่งสอนที่ดีงาม ฮูต ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า :
            โอ้พวกพ้องของฉัน จงตื่นจากความหลับไหลเถิด  บัดนี้พวกท่านก็ได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองแล้วว่าภัยพิบัติได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว  พวกท่านพึงรู้ด้วยว่าอัลเลาะห์ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่สำนึกผิด มีศรัทธา ทำความดี และได้รับทางนำที่ถูกต้อง  ดังนั้นพวกท่านจง

เรียกสติคืนมาเถิด  จงสำนึกผิดกลับตัวสู่องค์อภิบาลของพวกท่านเถิด  จงวิงวอนขออภัยโทษต่อพระองค์ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์เถิด  เพื่ออัลเลาะห์ จะปัดป้องภัยพิบัติให้พ้นไปจากพวกท่าน  ประทานน้ำฝนให้ตกลงมา  พลิกฟื้นแผ่นดินให้งอกงามด้วยพืชพันธัญญาหาร  ประทานอาหารให้แก่พวกท่านอย่างอิ่มหนำ  ให้พวกท่านได้รับความปลอดภัยและมีความมั่นคง ภายหลังจากที่ต้องเผชิญกับความหวาดกลัวและความหวั่นไหว.
            ช่างน่าอนาจเหลือเกิน ! สำหรับหัวใจที่แข็งกระด้างเหมือนก้อนหินก้อนหินบางชนิดเสียอีกที่เมื่อแตกออกก็ยังมีสายน้ำไหลออกมา  และบางชนิดก็มีน้ำซึมออกมา  แต่หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างยิ่งกว่าก้อนหิน  พวกเขาจึงยังคงดื้อดึงไม่ยอมรับสัจธรรม  และยังคงขัดขืนคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า  และปฏิเสธคำประกาศเชิญชวนให้มาศรัทธาต่ออัลเลาะห์.
            การลงโทษจากอัลเลาะห์เริ่มขึ้นเป็นการลงโทษที่ไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดหลงเหลือ  อัลเลาะห์ได้ส่งลมพายุที่รุนแรง เป็นลมที่มีความเร็วสูง เป็นลมที่แห้งและหนาวเหน็บ มันทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน และส่งเสียงอื้ออึงในหุบเขา มันทำลายบ้านเรือน   มันทำให้พืชพันธัญญาหารและต้นไม้ล้มตาย  เป็นลมพายุที่มาทำลายพวกอาด มันได้พัดโหมกระหน่ำพวกเขาเป็นเวลาเจ็ดคืนกับอีกแปดวัน  พวกเขาล้มตายกันเป็นเบือ.
            พวกที่ประสบกับความพินาศครั้งนี้มีประมาณสี่พันคน  ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตนอกจากพวกที่ศรัทธาในสิ่งที่ฮูตนำมาเผยแพร่เท่านั้น.
            อัลเลาะห์ ตาอาลาได้กล่าวถึงประวัติของพวกอาด และนบีฮูตของพวกเขาไว้ในอัลกุรอานในหลายซูเราะห์  พระองค์ได้ตรัสว่า :
            “สำหรับพวกอาดนั้น พวกเขาได้แสดงความยโสโอหังในหน้าแผ่นดินอย่างไม่บังควร  พวกเขากล่าวว่ามีใครไหมที่แข็งแรงยิ่งกว่าพวกเรา  พวกเขาไม่ได้พิจารณาดูหรือว่าอัลเลาะห์ซึ่งเป็นผู้สร้างพวกเขานั้นแข็งแรงยิ่งกว่าพวกเขา  และพวกเขาก็ปฏิเสธสัญลักษณ์ของเรา  จากนั้นเราได้ส่งลมพายุที่หนาวเหน็บที่มีเสียงกึกก้องกัมปนาทมาทำลายพวกเขาเป็นเวลาหลายวันที่เลวร้าย เพื่อเราจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษที่ทำให้ต้อยต่ำในโลกนี้  ส่วนการลงโทษในอาคิเราะห์นั้นทำให้ต้อยต่ำยิ่งกว่า  และพวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ (15-16:  ฟุซซิลัต)
            พระองค์ได้ตรัสไว้อีกว่า :

และในเรื่องของพวกอาด เมื่อเราได้ส่งลมพายุมาทำลายล้างพวกเขา  มันไม่ได้ปล่อยสิ่งใดเหลือไว้เลย เมื่อมันได้โหมกระหน่ำมา  นอกจากจะทำให้พินาศย่อยยับ” (41-42 : อัซซาซิยาต)
            และพระองค์ได้ตรัสไว้อีกว่า :
            “ พวกอาดได้กล่าวหาว่าสัจธรรมเป็นเท็จ  ดังนั้นการลงโทษของเรา และการตักเตือนของเราเป็นอย่างไรบ้าง  แท้จริงเราได้ส่งลมพายุที่หนาวเหน็บไปยังพวกเขา ในวันแห่ความหายนะที่ติดต่อกันลมพายุได้ฉุดกระชากผู้คนเหมือนพวกเขาเป็นต้นอินทผลัมที่ถูกถอนโคน  ดังนั้นการลงโทษของเรา และการตักเตือนของเราเป็นอย่างไรบ้าง”   (18-21 อัลกอมัร)
            และพระองค์ตรัสไว้อีกว่า :
            “ สำหรับพวกอาดนั้น พวกเขาถูกทำลายด้วยลมพายุที่หนาวเหน็บและเสียงดังก้องกัมปนาท  พระองค์ได้ให้ภัยนั้นเกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นเวลาเจ็ดคืนกับแปดวันต่อเนื่องกัน  ดังนั้นท่านจะแลเห็นพวกเขาล้มตายคล้ายต้นอินทผลัมที่กลวงล้มระเนระนาด  แล้วท่านจะเห็นสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีกสำหรับพวกเขา “   (6-8 ซ อัลฮาเกาะห์)

ฮูตและพวกที่มีศรัทธารอดพ้นจากการลงโทษ


            การลงโทษของอัลเลาะห์ที่มีต่อพวกอาดเป็นไปอย่างรุนแรง มันได้ทำลายล้างพวกเขาอย่างราบคาบ มันได้มาประสพกับพวกเขาทั่วทุกคน  ยกเว้นแต่ผู้ที่มีศรัทธาเท่านั้น  อัลเลาะห์ได้ให้ฮูต(.) และประชาชนที่มีศรัทธารอดพ้นจากการลงโทษในครั้งนี้  เป็นหลักความจริงที่อัลเลาะห์จะต้องช่วยเหลือผู้มีศรัทธาให้รอดพ้นจากการลงโทษ  อันน่าสะพึงกลัว ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากความตายที่ปรากฏอยู่ ณ เบื้องหน้าพวกเขาสามารถออกไปพ้นจากการทดสอบด้วยความโปรดปรานของอัลเลาะห์ และความเมตตาของพระองค์ และนี่คือผลตอบแทนของคนที่ทำความดี.
            ฮูต และสาวกที่มีศรัทธาได้เดินทางไปกับเขายังเมือง ฮัดรอเมาต์  ณ ที่นั้นพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของศรัทธาที่มีต่ออัลเลาะห์ว่าพระองค์คือองค์อภิบาลสากล


โลก และสักการะพระองค์แต่เพียงผู้เดียว จวบจนฮูต(.) เสียชีวิตลง และศพของท่านถูกฝังอยู่ในเขตนั้นตามที่นักประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้.

สัญลักษณ์และเครื่องหมายของพวกที่ปฏิเสธพระเจ้า


            ในชีวประวัติของนบีฮูต (.) ย่อมเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่มีสติปัญญา พวกพ้องของฮูตคือพวกอาดในขณะที่อัลเลาะห์ให้ความแห้งแล้งเกิดกับพวกเขาเป็นเวลาถึงสามปีเต็มจนพวกเขาประสบกับความอดอยากหิวโหยนั้น พวกเขาก็ยังไม่สำนึกตัวไม่นำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน พวกเขายังไม่ยอมอ้อนวอนต่ออัลเลาะห์ให้ช่วยเหลือให้รอดพ้นไปจากการลงโทษ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขากลับส่งผู้แทนไปหาพวกพ่อมดหมอผี อ้อนวอนพวกเขาให้ช่วยปัดเป่าเภทภัยที่เกิดขึ้นออกไป และให้ฝนกลับมาตกถูกต้องตามฤดูกาล.
            ผู้แทนของพวกอาดหลายคณะได้แยกย้ายกันเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆในคาบมุทรอาหรับเพื่อทำพิธีขอฝนให้แก่พวกพ้องของเขาบางคณะเดินทางไปยังมักกะห์เพื่อทำพิธีขอฝน ในคณะนี้มีทั้งบุคคลที่ไม่ยอมศรัทธาอย่างชัดแจ้งเช่น กอยล์ บุตร อิตร์ และลุกอยม์ บุตร ฮุซาล และมีบุคคลที่ศรัทธา  แต่ซ่อนการศรัทธาของตนไว้เช่น มัรซิด บุตร สะอัด บุตร อุฟัยร์ ร่วมคณะไปด้วย.
            บุคคลคณะนี้ได้แวะพักที่นครมักกะห์ภายหลังจากเดินทางมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม  โดยพำนักอยู่กับมุอาวิยะห์ บุตร บักร์  ขณะที่พวกเขาเดินทางถึงมักกะห์นั้น มุอาวิยะห์ อยู่นอกนครมักกะห์  มุอาวิยะห์ได้พาพวกเขาไปยังบ้านพักของเขา  ได้ให้การต้อนรับเลี้ยงดูพวกเขาเป็นอย่างดี เพราะพวกเขามีศักดิ์เป็นน้าชายของเขาเอง  เมื่อคณะพวกอาดได้พักอยู่ในนครมักกะห์ได้รับความสุขสบาย พวกเขาได้ลืมพวกพ้องที่กำลังเผชิญกับความแห้งแล้งและอดอยาก พวกเขาอยู่ที่มักกะห์หนึ่งเดือนใช้ชีวิตอย่างสำราญดื่มสุรา ฟังเสียงเพลงจากนักร้องหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น พวกเขาลืมภารกิจสำคัญที่เดินทางมายังมักกะห์เสียสิ้น  เมื่อมุอาวิยะห์ บุตร บักร์เห็นว่าพวกเขามาอยู่ที่มักกะห์เป็นเวลานานแล้ว ทำให้เขาลำบากใจอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะหน้าที่ของพวกเขาคือมาทำพิธีขอให้ฝนตก  มุอาวิยะห์จึงถามตัวเองว่าพวกอาดที่เป็นญาติของฉันกำลัง

เผชิญกับภัยพิบัติความแห้งแล้งและอดอยาก  แต่บุคคลคณะนี้พักอยู่ที่นี่เป็นแขกของฉันอย่างสุขสบาย  ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกเขาดี ทำอย่างไรฉันจึงจะทำให้พวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจของพวกเขาตามที่เดินทางมาได้ เขารำพึงกับตัวเองได้ไม่นาน  เขาก็นึกอุบายขึ้นมาได้ เขาได้แต่งคำโคลงขึ้นและส่งไปให้นักร้องหญิงคนหนึ่งขับร้องให้พวกเขาฟัง นักร้องหญิงได้ขับร้องข้อความว่า :
            กอยล์ เอ๋ย ช่างน่าอนาจ จริงๆ เจ้าจงลุกขึ้นและวิงวอน 
บางทีอัลเลาะห์อาจประทานน้ำฝนแก่พวกเรา
น้ำฝนจะรดราดแผ่นดินของพวกอาด
เพราะพวกอาดอดน้ำและพูดไม่ออกแล้ว
จนนางได้ขับร้องถึงข้อความที่ว่า :
พวกเจ้าอยู่ที่นี่จมอยู่กับสิ่งที่พวกเจ้าโหยหา
ทั้งกลางวันกลางคืนไม่คลาดครา
คณะของพวกเจ้าถูกประณามยิ่งกว่าคณะใดๆ
พวกเขาจะไม่ได้รับการคารวะ และคำอวยพร.

เมื่อพวกนั้นได้ยินเนื้อร้องของเพลงก็พากันนึกได้และพูดกันว่า :
พวกท่านจงเข้าไปในยังแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์เถิด และวิงวอนขอฝนให้แก่พวกพ้องของพวกท่าน  เพราะพวกท่านล่าช้ามามากแล้ว..
มัรซิด บุตร สะอัด ซึ่งเป็นมุสลิมผู้มีศรัทธาได้กล่าวขึ้นว่า :
ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้รับน้ำฝนด้วยคำวิงวอนของพวกเจ้าหรอก แต่ถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังนบีของพวกเจ้าคือฮูต และศรัทธาในความเป็นศาสนทูตของเขาแล้ว พวกเจ้าจะได้รับน้ำฝน.
บัดนั้นเองพวกเขาก็รู้ว่ามัรซิด เป็นผู้ที่ศรัทธาต่อฮูต  พวกเขาจึงขอร้องมุอาวิยะห์ บุตร บักร์ให้กักขังมัรซิด บุตร สะอัด ไว้ เพื่อไม่ให้เขาไปยังกะอ์บะห์พร้อมกับพวกเขา.
พวกเขาได้ออกไปทำพิธีขอฝนให้แก่พวกพ้องของเขา  ขณะที่พวกเขาเดินทางไปเข้าไปในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์  พวกเขาได้พบมัรซิด อยู่ข้างหลังพวกเขานั่นเอง เขากำลังวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์อยู่ในกะอ์บะห  ต่อมาไม่นานนักก็ได้มีก้อนเมฆใหญ่สามก้อน

ลอยมา ก้อนหนึ่งดำทะมึน อีกก้อนหนึ่งสีขาว และก้อนที่สามมีสีแดง.. มีเสียงเรียกดังขึ้น พวกเขาทุกคนได้ยินเสียงเรียกนั้น แต่ไม่เห็นตัวผู้เรียกว่าเป็นใคร .. เสียงนั้นดังขึ้นว่า :
พวกเจ้าจงเลือกก้อนเมฆก้อนใดก้อนหนึ่งจากสามก้อนนี้ให้แก่พวกพ้องของเจ้าเถิด ..  กอยล์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะได้เลือกเอาก้อนเมฆสีดำทะมึน  เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าก้อนเมฆสีดำนั้นเต็มไปด้วยน้ำฝนอันมากมาย.
เสียงเรียกจากก้อนเมฆดังขึ้นอีกว่า :
บัดนี้เจ้าได้เลือกให้แก่ตัวเจ้าและพวกพ้องของเจ้าแล้ว นั่นคือสีเถ้าถ่านที่ดำสนิท ก้อนเมฆดำนั้นไม่ได้ปล่อยพวกอาดให้รอดพ้นไปแม้แต่คนเดียวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ นอกจากปล่อยทิ้งไว้ในสภาพเป็นศพที่มีร่างกายไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโก.
อัลเลาะห์ ได้ให้เมฆดำนั้นลอยไปยังพวกอาด ก้อนเมฆได้เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อพวกอาดเห็นก้อนเมฆก็พากันดีใจและบอกไปต่อๆ กัน พวกเขาพูดกันว่า นี่คือก้อนเมฆที่จะนำน้ำฝนมาให้แก่พวกเรา ในยามที่พวกเราพบกับความแห้งแล้งและอดอยาก .. ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงก้องดังขึ้นมาว่า :
แต่มันคือการลงโทษ ตามที่พวกเจ้าได้เรียกร้องให้มาเกิดขึ้นโดยเร็วต่างหาก  มันเป็นลมพายุที่จะมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ..
เสียงฟ้าร้องคำรามก้อง สายฟ้าแลบแปลบปลาบ และสายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างสนั่นหวั่นไหวถล่มพวกอาดเป็นเวลาเจ็ดคืนกับอีกแปดวันติดต่อกันทั้งกลางวันและกลางคืน  มันได้ทำลายพวกอาดลงอย่างราบคาบไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว กระทั่งพวกที่เดินทางออกไปเพื่อทำพิธีของฝนก็ไม่ละเว้น ลมพายุอันหนาวเหน็บได้พัดพาพวกเขาไป และสายฟ้าฟาดได้กระหน่ำพวกเขาเสียชีวิต.
อัลกุรอานได้บรรยายภาพให้พวกเราเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น  โดยอัลเลาะห์ได้โต้ตอบกับท่านนบีมุฮำหมัด (.) ว่า :
เจ้าจงรำลึกถึง ฮูต พี่น้องคนหนึ่งของพวกอาดเถิด  ขณะที่เขาตักเตือนพวกพ้องของเขาที่บริเวณภูเขาอะฮ์กอฟ และความจริงบรรดาผู้ตักเตือนที่มาก่อนหน้าเขาและภายหลังจากเขาต่างก็ได้ตักเตือนพวกพ้องของตนว่า พวกท่านอย่าได้สักการะสิ่งใดนอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น แท้จริงฉันกลัวว่าพวกท่านจะถูกลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่ 


พวกเขากล่าวว่า  ท่านมายังพวกเราเพื่อทำให้พวกเราเบือนหนีจากพระเจ้าต่างๆของพวกเราอย่างนั้นหรือ  ขอท่านได้โปรดนำสัญญาที่ท่านได้ให้ไว้แก่พวกเรามาเถิดถ้าหากท่านเป็นผู้ที่มีสัจจะ  ฮูต กล่าวแก่พวกเขาว่า ที่จริงความรู้ในเรื่องการลงโทษนั้นอยู่ที่อัลเลาะห์เจ้าเพียงผู้เดียว และฉันขอประกาศแก่พวกท่านตามที่ฉันถูกส่งลงมาเพื่อการนี้  แต่ฉันเห็นว่าพวกท่านเป็นพวกที่โง่เขลา  ต่อมาเมื่อพวกเขาเห็นก้อนเมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวมาทางหุบเขาที่พวกเขาอาศัยอยู่  พวกเขากล่าวว่านี่คือก้อนเมฆที่จะนำน้ำฝนมาให้แก่พวกเรา แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่มันคือสิ่งที่พวกเขาเร่งให้เกิดขึ้น มันเป็นลมพายุที่มีการลงโทษอันเจ็บปวดแฝงตัวอยู่ด้วย มันจะทำลายทุกสิ่งตามคำบัญชาของพระเจ้าของมัน  แล้วพวกเขาก็กลายเป็นไม่มีเหลืออะไรให้แลเห็น  นอกจากบ้านพักของพวกเขาเท่านั้น  ดังนี้คือสิ่งที่เราจะตอบแทนให้แก่พวกที่กระทำความผิด  และความจริงเราได้ตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงให้แก่พวกเขา  โดยที่เราไม่ได้ตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงให้แก่พวกเจ้าในนั้น และเราได้ทำให้พวกเขามีหูมีตาและหัวใจ  แต่หูของพวกเขา  ตาของพวกเขา และหัวใจของพวกเขา มิได้อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขา โดยที่พวกเขาปฏิเสธสัญญาณต่างๆของ อัลเลาะห์ และสิ่งที่พวกเขาได้เคยเยาะเย้ยไว้นั้นก็ห้อมล้อมพวกเขา.(21-26 : อัลอะฮ์กอฟ)

บัดนี้เราจะพบแล้วว่าเบื้องหน้าของเรามีอุทาหรณ์ และข้อเตือนใจหลายประการ  ให้พิจารณาท่านนบีฮูต (.) ได้ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาอย่างต่อเนื่อง  ทั้งที่พวกพ้องของท่านปฏิเสธ และต่อสู้ความจริง  และทั้งที่พวกเขาข่มขู่และคุกคามท่านอย่างร้ายแรง  แต่ท่านก็ไม่ได้ใช้ความชั่วต่อสู้กับความชั่ว ท่านยังคงทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาอย่างต่อเนื่องและใช้สติ และดำเนินไปตามการชี้นำจากพระผู้เป็นเจ้า นบีฮูตได้ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยมารยาทอันดีงาม สุภาพอ่อนน้อม ด้วยจิตใจที่กว้างขวาง และยืดหยุ่น  เพื่อทำหน้าที่อบรม สั่งสอนและตักเตือนประชาชนของท่านด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์.
แม้นบีฮูต(.) จะใช้ความพยายามอย่างสูงในการเผยแพร่และเรียกร้องประชาชนของท่านสู่แนวทางที่ถูกต้อง แต่พวกพ้องของท่านก็ยังไม่มีสำนึก และท่านก็ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีหรือแม้แต่คำขอบคุณจากพวกเขาเหล่านั้นยิ่งไปกว่านั้นท่านยังได้เตือนพวกเขาให้รำลึกถึงความโปรดปรานของอัลเลาะห์ที่มีต่อพวกเขาเพื่อโน้มน้าวพวก

เขาให้มีศรัทธา  และเตือนพวกเขาให้ตระหนักถึงการลงโทษจากอัลเลาะห์ที่เคยเกิดขึ้นกับพวกที่ไม่ศรัทธาในยุคก่อนๆ เช่นในยุคของนบีนัวฮ์(.) นั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน  และเป็นอุธาหรณ์ที่พวกเขาจะใช้เป็นหลักในการพิจารณา.
แบบฉบับดังกล่าวของนบีฮูตนั้น ถือเป็นสิ่งที่ผู้ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาจะต้องยึดถือเป็นหลัก และจะต้องทำหน้าที่ด้วยวิทยปัญญา และด้วยคำตักเตือนสั่งสอนที่ดี โดยไม่แสดงอาการยกตนข่มท่านและยโสโอหังต่อเพื่อนมนุษย์  เหล่านี้เป็นคุณลักษณะของบรรดานบีทั้งหลาย ที่อัลเลาะห์ได้เลือกสรรพวกเขามา และแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูต  ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาของอัลเลาะห์  พวกเขายำเกรงต่ออัลเลาะห์ และพวกเขาจะไม่ยำเกรงผู้ใดนอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น พวกเขามีความมั่นใจในความช่วยเหลือที่จะมีมาจากอัลเลาะห์   และพวกเขามอบหมายความสำเร็จในการดำเนินงานของพวกเขาไว้กับอัลเลาะห์.

จบชีวประวัติของท่านนบีฮูต (.)



 

 






 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น